Saturday, December 29, 2007

ทั่วไทยในวันเดียว

ด้วยอาชีพที่ต้องเดินทางเป็นหลักมันจึงเป็นเรื่องธรรมดาที่ผมมีโอกาสเห็นและสัมผัสกับสิ่งต่างบ้านต่างเมืองอยู่บ่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นทั้งในประเทศและต่างประเทศ

บางคนก็อิจฉาที่ผมได้เดินทางบ่อย แต่ผมว่าเรื่องเที่ยวมันเป็นแค่ผลพลอยได้ของการทำงานครับ เพราะหน้าที่หลักมันไม่ใช่ไปเที่ยวแต่เป็นการไปสร้างความสุขความสบายให้กับคนที่เราไม่รู้จัก


ถ้าถามผมตรงๆ ว่าระหว่างในประเทศกับต่างประเทศ อะไรดีกว่ากัน ผมเองก็ตอบไม่ได้ครับ เพราะว่าความแตกต่างทางชาติ ภาษา และวัฒนธรรม มันเป็นนามธรรมมาที่ไม่สามารถเปรียบเทียบกันได้ ไปต่างประเทศมันก็ดีตรงที่ได้เปิดหูเปิดตา กับได้ลองชิมอาหารรสชาติต้นฉบับ แต่โดยส่วนตัวแล้ว ผมชอบการทำงานภายในประเทศมากกว่า

ถึงแม้ว่ามันอาจจะฟังดูไม่ไฮโซฯ เท่าไหร่นัก แต่ผมบอกได้คำเดียวครับว่า ในประเทศนี่แหละเด็ดสุดแล้ว เนื่องด้วยภาษาสื่อสารที่ไม่ต้องแปลและตีความ (ใครทำตัวน่ารักก็รู้ ใครทำตัวให้รังเกียจก็เห็นได้ทันที) อาหารการกินที่อร่อยถูกปาก และเป็นการทำงานที่ง่ายและรวดเร็ว (เร็วจริงๆ ครับ เพราะโดยเฉลี่ยแล้วมันไม่ค่อยจะเกิน 1 ชั่วโมง)

มีอยู่หนหนึ่งครับ ผมไปทำงานในประเทศ ซึ่งหนึ่งในสามวันนั้น ผมเดินทางทั่วประเทศเลยทีเดียว เพราะในตอนเช้าผมตื่นนอนที่เชียงใหม่ แล้วไปกินข้าวเที่ยงตอนบ่านต้นๆ พร้อมกับซื้อของปลอดภาษีที่ภูเก็ต เสร็จแล้วก็แวะนั่งพักกับหาอะไรรองท้องที่กรุงเทพฯ ก่อนที่จะปิดฉากของวันนั้นด้วยการไปหาอะไรกินรอบดึกและเข้านอนที่ขอนแก่น



จบจากวันนั้นมาผมลองมาย้อนคิดดูก็อดคิดไม่ได้ว่ามันแปลกดี ที่ในหนึ่งวันผมไปซะทั่วประเทศเลยครับ ถึงแม้ว่าอาจจะไม่มีภาคตะวันออกกับตะวันตกเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยก็ตาม แล้วนอกจากนี้มันยังพาลให้ผมคิดไปอีกครับว่า ประเทศไทยมีอะไรดีๆ เยอะแยะมากมายที่ผมยังไม่รู้ และไม่เห็น ถ้าไม่เชื่อลองมานั่งนับดูสิครับ ว่า 76 จังหวัดในประเทศไทย เราไปมาครบรึยัง

Saturday, December 22, 2007

ขี้

ขี้ เมื่อเป็นคำนาม คือ ของเสียที่ร่างกายไม่ต้องการแล้วขับถ่ายออกมาทางทวารต่างๆ เช่น ขี้ไคล ขี้เล็บ


ขี้ ยังหมายถึงเศษหรือกากที่ออกมาจากสิ่งนั้นๆ เมื่อใช้ร่วมกับสิ่งของ เช่น ขี้เลื่อย ขี้กบ


ขี้ สามารถใช้ประกอบหน้าคำ เพื่อแสดงความหมายที่ไม่ดี หรือมักเป็นเช่นนั้น เช่น ขี้เกียจ ขี้โมโห


สรุปแล้วขี้มันคือของไม่ดี
มีมันอยู่ที่ไหน ก็มีแต่เรื่องลำบากที่นั่น
เมื่อทราบเช่นนี้แล้วคุณยังอยากจะมี "ขี้" ติดอยู่กับตัวอีกมั้ยครับ


Friday, December 14, 2007

ฟาดเคราะห์

เมื่อสองสามวันที่ผ่านมา ผมเดินทางไปนครเซี่ยงไฮ้ ประเทศจีน และโดยปกติ ผมมักจะตรวจสอบสภาพอากาศก่อนเดินทาง เพื่อที่จะได้เตรียมจัดกระเป๋าไปให้เหมาะสม และจากการตรวจสอบเวบไซต์พยากรณ์อากาศเจ้าประจำ (http://www.accuweather.com)/ ก็ทราบว่าอุณหภูมิที่เซี่ยงไฮ้อยู่ที่ประมาณ 8-12°C ครับ และมีฝนตกในวันที่ผมไปถึง

จากประสบการณ์หนาวสะท้านกายที่กรุงโซล ประเทศเกาหลี ซึ่งมีอุณหภูมิถึงขั้นติดลบ มันได้สอนผมเอาไว้ว่าอุณหภูมิติดลบที่น่ากลัว ผมยังอยู่ได้ และเสื้อกันหนาวที่จัดไปคราวนั้นก็อุ่นเกินพอดี แถมกินเนื้อที่ในกระเป๋าผมอย่างไม่น่าให้อภัย คราวนี้ผมเลยตัดสินใจว่าไปเซี่ยงไฮ้คราวนี้เตรียมเสื้อผ้าไปนิดเดียว แค่เสื้อแขนยาวกับเสื้อแจ๊กเก็ตกันลมกันฝนก็พอ ในเมื่ออุณหภูมิต่างกันตั้งเกือบ 10 องศา สบายๆ อยู่แล้ว

การตัดสินใจของผมคราวนี้ผมเองไม่ค่อยปลื้มเท่าไหร่ครับ เพราะเสื้อผ้าที่เตรียมไปนั้นมันพอจริงๆ...พอที่จะทำให้ผมแข็งตาย!! คิดดูสิครับว่าเสื้อแจ๊กเก็ตผ้าร่มที่กันลมได้นั้น พอเจออากาศเย็นเข้าไป เนื้อผ้าก็เย็นตามอากาศไปด้วย มันหนาวสะท้านได้อย่างสะใจจริงๆ ครับ


หลังจากที่ฝ่าฟันกับอากาศที่หนาวเข้ากระดูกแสนทรมาน ผมไปเดินเล่นที่ตลาดใต้ดินชื่อว่าเสี้ยนหยาง ซึ่งโดยปกติแล้วผมเป็นคนไม่ค่อยช้อปปิ้ง เพราะฉะนั้นการต่อรองราคาก็อาจจะไม่ชำนาญเท่าไหร่นัก แต่ไปเซี่ยงไฮ้ครั้งนี้ผมตั้งใจจะไปซื้อผ้าพันคอฝากสักสี่ห้าผืนกลับมาฝากแม่และเพื่อนผู้หญิงซึ่งหาได้ไม่ยากเลยครับ

ถ้าใครมีประสบการณ์ไปเที่ยวเมืองจีนคงจะทราบกันดีนะครับว่าพ่อค้าแม่ขายของชาตินี้นั้นเขาเกิดมาเพื่อตื้อและบอกผ่านจริงๆ ผมไปซื้อผ้าพันคอมาห้าผืน ผืนละ 50 หยวน หรือประมาณ 200 บาท ซึ่งราคาขายตามป้ายที่เขาติดไว้คือ 280 หยวน ดูเขาสิครับ ช่างเอาเปรียบผู้บริโภคเสียนี่กระไร แต่ 50 หยวนก็ใช่ว่าจะถูก เพราะว่าคนอื่นๆ เขาซื้อได้ในราคาผืนละ 10 หยวนน่ะสิครับ แต่ก็เอาเถอะครับ คราวนี้ผมไปคนเดียว ไม่กล้าจะต่อกรกับแม่ค้า ถ้าไปกับเพื่อนอีกคน ผมต่อเหลือแค่ 10 หยวนแน่นอน



หลังจากเดินให้เมื่อยขาเล่นที่ตลาดเสี้ยนหยาง ผมก็เดินทางกลับโรงแรม แต่รถบัสมาถึงช้าไปประมาณห้านาทีเท่านั้น ผมกับเพื่อนอีกสองคนนี้เลยคลาดกับเพื่อนร่วมงานอีกกลุ่มหนึ่งซึ่งกำลังเดินไปหาข้าวเย็นกินกัน พยายามเดินหาตามร้านอาหารแถวๆ โรงแรม แต่ก็หาตัวกันไม่เจอครับ ทำให้ผมและเพื่อนอีกสองคนไปลงเอยที่ร้านอาหารญี่ปุ่นตรงข้ามโรงแรม ซึ่งเขาว่ากันว่าอร่อย

ผมไม่ทราบเหมือนกันครับ “เขา” ที่ว่ากันว่าอร่อยนี้คือใคร เพราะผมและเพื่อนๆ รู้สึกผิดหวังอย่างสาหัส เพราะนอกจากจะไม่อร่อยมาเป็นทุนเดิมแล้ว จะให้ปรุงเท่าไหร่ก็ไม่อร่อยเช่นกัน แต่ไม่เป็นไรครับ ถือว่ามาลองกันให้ทราบ



หลังจากนั้นผมและเพื่อนอีกสองคนนี้ก็ไปเดินเล่นที่ซูเปอร์มาร์เก็ตข้างๆ โรงแรมซึ่งมีชื่อว่า Century Mart ผมว่าหน้าตาก็คล้ายๆ กับ Tesco Lotus บ้านเรา เพียงแต่ว่าอาจจะเล็กกว่าสักหน่อย ซึ่งแน่นอนครับ สินค้าที่นั่นล้วนแต่ Made in China ทั้งสิ้น ผมเดินมองผ่านๆ แล้วในใจก็คิดว่ามันก็น่าสนใจนะ แต่ว่าถ้าหากอ่านฉลากสินค้าไม่ออกก็ไม่ขอลองดีกว่า เลยซื้อแต่ขนมครับ เผอิญว่ามันเป็นสินค้าของบริษัทกูลิโกะ ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีในบ้านเรา ผมเลยซื้อขนมที่แปลกกว่าที่บ้านเราเป็นของติดไม้ติดมือ

ห้านาทีให้หลัง หลังจากซื้อเสร็จและกำลังเดินออกจากห้าง ปรากฏว่าผมหากระเป๋าสตางค์ตัวเองไม่เจอครับ เทถุงซื้อของออกมาก็หาไม่เจอ เลยต้องวิ่งแจ้นกลับไปที่แคชเชียร์ ผมมองๆ หาดูก็ไม่มี และกว่าจะสื่อสารกันได้ก็หืดแทบขึ้นคอ แต่โชคดีที่มีพนักงานห้างคนหนึ่งพูดภาษาอังกฤษได้ เขาช่วยไปตรวจสอบภาพจากกล้องวงจรปิดมาให้ครับ และผลปรากฏว่า ผมเองประมาทที่ลืมกระเป๋าสตางค์ไว้บนโต๊ะแคชเชียร์ เหตุที่ผมลืมนั้นก็เพราะว่าตอนเขาทอนเศษเงินมา ผมจะขอเขาแลกเป็นธนบัตรใบใหญ่แต่สื่อสารกันยากเลยชี้โบ๊ชี้เบ๊อยู่สักพักนึง จนลืมไปเลยว่าตั้งกระเป๋าสตางค์ไว้

ที่น่าเจ็บใจคือสำหรับเหตุการณ์ครั้งนี้ก็คือ คนซื้อของคนถัดจากผมเป็นคนสอยกระเป๋าสตางค์ของผมไปเองครับ แถมยังเดินตามหลังแบบหายใจรดคอผมเลยก็ว่าได้ ในตอนที่ผมเดินออกมาจากซูเปอร์มาร์เก็ต แทนที่เขาจะทักว่าผมลืมของ เขากลับหยิบมันเข้ากระเป๋ากางเกงเขาไปเอง ซึ้งครับซึ้ง แต่ก็อย่างว่าแหละครับ ประชาชนบ้านเขาปากกัดตีนถีบ และเงินทองก็ไม่เข้าใครออกใคร


พอทราบว่ากระเป๋าสตางค์หาย เพื่อนร่วมงานคนไต้หวันของผมไม่รอช้าครับ รีบพาผมไปแจ้งความที่สถานีตำรวจทันที ไม่ใช่เพราะว่าอยากได้ของคืน แต่เพื่อเป็นการป้องกันเผื่อว่าคนที่หยิบกระเป๋าสตางค์ผมไปจะนำบัตรประชาชนของผมไปปลอมแปลง แล้วทำให้ผมเดือดร้อนในภายหลัง เป็นสิ่งที่น่าประทับใจมากครับ และอีกอย่างหนึ่ง คือ พนักงานโรงแรมที่เป็นผู้จัดการประจำกะกลางคืน ก็ช่วยประสานงานและเป็นกำลังใจให้ตลอด ถึงแม้ว่าจะไม่ใช่งานของเขาก็ตาม แต่ติดอยู่ตรงที่นายตำรวจเซี่ยงไฮ้คนนึงที่เหมือนจะไม่ช่วยเหลือแล้วยังจะโวยวายต่างๆ นานาลั่นโรงพัก แต่ผมคิดเสียว่าฟังไม่เข้าใจเลยไม่ใส่ใจดีกว่าครับ

เคราะห์ที่ผมฟาดไปคราวนี้หนักพอควรครับ เพราะเงินในกระเป๋าสตางค์นั้น รวมๆ กันแล้วก็ประมาณแปดพันกว่าบาทครับ รวมถึงบัตรเครดิต บัตรเอทีเอ็ม บัตรประชาชนและใบขับขี่ เงินน่ะผมไม่ค่อยเสียใจมากครับ เพราะว่าคิดเสียว่าไปทำงานการกุศล แต่ที่เสียอารมณ์คือต้องตามอายัติบัตรเครดิต และบัตรเอทีเอ็ม แล้วต้องตามทำบัตรสำคัญต่างๆ ครับ



ขณะที่ผมเขียนเรื่องนี้ไป ผมก็มานับๆ ดูแล้ว ผมว่าคราวนี้ผมฟาดเคราะห์ไปหลายงวดทีเดียวเชียว ตั้งแต่ซื้อของแพง ทานอาหารไม่อร่อย แถมยังทำเงินหายอีก เป็นเพราะความสะเพร่าของผมเองแท้ๆ

แต่อย่างไรก็ดี มีชั่วเจ็ดที ก็ย่อมมีดีเจ็ดหนครับ เพราะวันที่ผมเดินทางกลับหัวหน้างานของผมทนสงสารผมไม่ได้ เขาไปรวบรวมเงินจากเพื่อนๆ ร่วมงานสิบกว่าคน มาเป็นเงินปลอบใจผม ซึ่งก็นับว่าเป็นมูลค่าหลายบาทอยู่ ซึ่งเมื่อมาหักลบกลบหนี้กับเงินที่ซื้อของและหายไปด้วย ก็เท่ากับว่าเงินผมหายไปราวๆ สามพันบาทเศษ ก็นับว่ายังไม่แย่เสียทีเดียว


การฟาดเคราะห์ครั้งนี้เป็นบทเรียนแสนแพง...แพงที่สุดในชีวิตก็ว่าได้ครับ แต่ถึงอย่างไรก็ตามสิ่งที่ผมได้รับกลับมาคือความประทับใจของคนไทยที่มีน้ำใจเอื้อเฟื้อต่อคนไทยด้วยกันประหนึ่งพี่น้องร่วมสายเลือด (รวมถึงพี่คนไต้หวันที่ช่วยเหลือผมทุกอย่าง จนผมตื้นตันอย่างบอกไม่ถูก) เพราะฉะนั้นเกิดเป็นคนไทยด้วยกันก็รักกันไว้เถิดครับ ไม่ต้องรอให้เกิดเหตุการณ์คับขันก่อนแล้วค่อยมาแสดงความรักต่อกันและกัน อย่างนี้บ้านเมืองเราคงน่าอยู่ขึ้นเยอะครับ


Tuesday, December 11, 2007

มิตรรักแฟนเพลง และขาประจำบล็อก Endless Stories ครับ

เนื่องด้วยเดือนนี้มีวันหยุดหลายวันประจวบกับภาระกิจที่ถาโถมเข้ามาหาผมในเวลาเดียวกัน เป็นเหตุให้การเล่าเรื่องของผมต้องล่าช้าหรืออาจจะถึงขั้นชะงักไประยะหนึ่ง ต้องขออภัยมิตรรักแฟนเพลงและขาประจำของบล็อกนี้ไว้เป็นอย่างมาก

ทันทีที่กิจธุระของผมเสร็จสิ้นและเวลาของผมลงตัวเมื่อไหร่ ผมจะรีบกลับมาอัพเดทบล็อกให้ทุกท่านได้รับความเพลิดเพลินต่ออย่างเร็วไวครับ

ขออภัยที่ทำให้ขาดตอนครับ

Tuesday, November 27, 2007

พลาด (อีกแล้ว)

คืนวันที่ผมไปดูละครเวทีเรื่อง Cats ผมไปแวะไปเดินเล่นฆ่าเวลาใน B2S ก่อนจะถึงเวลาแสดง ซึ่งก็ไม่ได้เหลือมากมายเท่าไหร่หรอกครับ แต่พอดีผมอ่านหนังสือของคุณหนูดี (วนิษา เรซ) ซึ่งอยู่ในช่วงเนื้อหาเรื่องการทำ Mind Map® ก็เลยร้อนวิชาครับ ไปหาซื้อสีเมจิก ไว้เผื่อว่าวันไหนว่างๆ จะลองบริหารสมองละเลง Mind Map® ดู (ซึ่งจนถึงวินาทีนี้ก็ยังไม่ได้ทำครับ)


นอกจากความต้องการสีเมจิกที่เกิดจากความร้อนวิชาแล้ว ผมลงทุนซื้อซีดีของ Nelly Furtado มาด้วย ซึ่งปกติที่ผ่านมาผมมักก่อโจรกรรม ไปซื้อแผ่นผีซีดีเถื่อนมาฟัง เพราะมันถูกกว่ากันสามถึงสี่เท่า แต่พักนี้ผมคิดว่ามันถึงเวลาแล้วที่ผมควรจะเคารพสิทธิทางปัญญา เหตุที่ผมไปซื้อเพราะมีวันนึงผมได้ฟังเพลงของศิลปินคนนี้ในรถของเพื่อน แล้วเกิดติดใจครับ ผมหยิบซีดีขึ้นมาดู พลิกดูด้านหลัง แต่ละเพลงน่าสนใจทั้งนั้น


อัลบั้ม Loose ของ Nelly Furtado ที่ผมตั้งใจจะซื้อ


ด้วยเวลาที่มีจำกัด เพราะใกล้ถึงเวลาของละครเวที ผมรีบคว้าซีดี Nelly Furtado แล้วไปจ่ายเงินทันที

เวลาผ่านพ้นไป ผมเพลิดเพลินกับละครเวที (และยังจะซื้อซีดีเพลงประกอบละครเวทีเรื่อง Cats เพิ่มอีก) และเมื่อละครเวทีจบ ผมก็กลับบ้าน...

ปรากฏว่าผมพลาดครับ ด้วยเวลาที่มีน้อยใน B2S ทำให้ผมพลาด แทนที่ผมจะซื้อซีดีของ Nelly Furtado อัลบั้ม Loose ที่ผมตั้งใจไว้ ผมกลับไปหยิบซีดีอีกแผ่นหนึ่ง ซึ่งเป็นซีดีเพลงบันทึกคอนเสิร์ตของ Nelly Furtado แทน...เศร้าครับเศร้า ในใจก็คิดว่าไม่เป็นไรหรอก พรุ่งนี้หรือไม่ก็มะรืนนี้ค่อยไปเปลี่ยน แต่มันไม่ง่ายอย่างนั้นน่ะสิครับ เพราะนึกได้ว่าทาง B2S เขาไม่ได้ให้ใบเสร็จผมมาด้วย

อัลบั้ม Loose in Concert ที่ผม"พลาด"ซื้อมา


แต่ทำไงได้ครับ เสียเงินซื้อทรัพย์สินทางปัญญามาแล้ว ลองฟังเพลงของเขาดูสักหน่อยจะเป็นไร (แต่ในใจตอนนั้นคิดว่าสมน้ำหน้าตัวเองว่า "เป็นไงล่ะ อยากซื้อทรัพย์สินทางปัญญานักใช่มั้ย") เมื่อฟังแล้วมันก็ไม่ต่างอะไรไปจากอัลบั้ม Loose ของเขาหรอกครับ เพียงแต่จะบรรยากาศในคอนเสิร์ตแทนที่จะเป็นในห้องบันทึกเสียง ฟังๆ ไปแล้วผมว่ามันก็เข้าท่าดีเหมือนกันนะ ได้ความรู้สึกไปอีกแบบเหมือนกับว่าอยู่ในคอนเสิร์ตเลยครับ

เมื่อไม่กี่วันนี้ผมเพิ่งจะเล่าเรื่อง “เขตหวงห้าม” ไปหยกๆ มาคราวนี้ผมก็ดันทำพลาดในเรื่องเล็กๆ อีกจนได้ ยังดีนะครับ ที่ความผิดพลาดครั้งนี้ทำให้ผมได้รับอรรถรสดนตรีในอีกรูปแบบหนึ่ง แต่ก็อย่างว่าแหละครับผมจะจำเรื่องนี้เอาไว้เป็นบทเรียน จะได้ไม่ประมาทในการซื้อของครั้งต่อๆ ไปครับ

ไปดูแมวเหมียวเต้นระบำ

ในคืนวันเพ็ญเดือนสิบสองซึ่งเป็นวันลอยกระทงที่ผ่านมา แทนที่ผมจะไปเพิ่มมลภาวะทางน้ำ ผมเลือกที่จะไปชมละครเวทีบรอดเวย์เรื่อง Cats ซึ่งหอบเวทีมาจัดแสดงที่เมืองไทยรัชดาลัยเธียเตอร์ และถือว่าเป็นละครบรอดเวย์เรื่องแรกในชีวิตของผมเลยครับ


ผมลงทุนซื้อบัตรแพง นั่งอยู่แถวที่เก้าจากข้างหน้า และขอสารภาพว่าผมพกพล้องส่องทางไกลอันเล็กๆ ไปด้วยครับ เอาไว้กันเหนียว เผื่อว่าโรงมันใหญ่จนมองเห็นอะไรไม่ค่อยชัด (จากประสบการณ์การซื้อบัตรราคาประหยัดในหลายๆ การแสดงที่ผ่านมาแล้วเห็นนักแสดงตัวเท่าหัวไม้ขีด) แต่ผิดคาดครับ แถวที่ผมนั่งนั้นเป็นชัยภูมิที่ดีทีเดียวเชียว ไม่ไกลแต่ก็ไม่ได้ใกล้มากจนมองไม่เห็นภาพรวม ผมสามารถเห็นหน้าตาของนักแสดงบนเวทีได้อย่างชัดเจนจนแทบจะนับสิวเขาได้เชียวล่ะ


บรรดาเหล่าแมวเมียวผู้มาชุมนุมในงาน Jellicle Ball


ละครเวทีเรื่อง Cats นี้ได้ใจผมมากเลยครับ ไม่ใช่เป็นเพราะผมเป็นคนรักแมว แต่เป็นเพราะเสน่ห์แห่งความเป็นบรอดเวย์บวกกับองค์ประกอบของเวทีที่มีซอกหลืบอยู่เต็มไปหมด นักแสดงสามารถปีนขึ้น ปีนลง มุดช่องนู้น ออกช่องนี้ กระโจนเข้าช่องนั้น ได้ทั้งเวที และการแต่งกายของนักแสดงไม่ว่าจะมองจากมุมไหน ก็ให้ความรู้สึกว่าพวกเขาคือ”แมว”ครับ แต่สิ่งที่ผมชอบที่สุดคือการที่นักแสดงเดินออกมาตามทางเดินจากด้านหลังโรงละครในช่วงเปิดการแสดง และมีการเดินผ่านและเล่นกับคนดูเป็นระยะๆ ระหว่างดำเนินเรื่อง ซึ่งให้ความรู้สึก”เข้าถึงคนดู”เป็นอย่างมากครับ นอกจากนี้นักแสดงยังร้องเพลง Memory อันโด่งดัง เป็นภาษาไทยให้คนไทยประทับใจเล่นอีกหนึ่งช่วงด้วยครับ


Gizabell อดีตแมวผู้เลอโฉม ผู้ขับขานเพลง Memory


ผมคิดว่าสิ่งเหล่านี้แหละครับ ที่ทำให้ละครเวทีเรื่องนี้อยู่คู่บรอดเวย์มากว่ายี่สิบปี แล้วผมยังคิดต่ออีกครับว่าที่จริงแล้วคนไทยก็มีศักยภาพที่จะจัดการแสดงเช่นนี้ครับ เพียงแต่ต้องเปิดใจกว้าง กล้าลองสิ่งใหม่ๆ ไม่ต้องห่วงภาพพจน์และเลิกยึดติดกับความคิดเดิมๆ อาจจะมีบ้างที่จะต้องลงทุนมากขึ้นอีกสักหน่อย แต่ถ้าหากทำได้ ไม่ว่าจะเป็นละครเวที คอนเสิร์ต หรือการแสดงไหนๆ พี่ไทยเราสู้ต่างชาติได้แน่นอน

Monday, November 26, 2007

ไปทำอะไรที่โรงแรม?!?

ร่างกายและสมองของคนเรามักจะทำอะไรแปลกๆ ทั้งๆ ที่เราเองไม่รู้ตัว ผมเองก็เคยตกเป็นเหยื่อของจิตใต้สำนึกของตัวเองครับ แต่เมื่อมองย้อนไปแล้วก็อดขำไม่ได้

เรื่องของเรื่องมันมีอยู่ว่าในช่วงที่ผมเป็นนักศึกษา ผมมักจะเรียนวิชาเดียวกับเพื่อนคนนึงซึ่งชื่อโบว์อยู่เสมอโดยเฉพาะช่วงปี 2 และ ปี 3 (ขออภัยโบว์ที่นำชื่อมากล่าวในเรื่องนี้โดยไม่ได้รับอนุญาต) และมีอยู่วันหนึ่งขณะที่ผมนั่งเรียนอยู่ และอาจารย์ประจำวิชาก็แจ้งว่าจะมี Quiz ในครั้งต่อไป ผมเลยหันไปหาโบว์ซึ่งนั่งเรียนติดกันว่าจะโทรศัพท์คุยกันและติวเนื้อหาที่จะมี Quiz โดยผมนัดกับโบว์ไว้ว่าให้โบว์โทรมาหาผมช่วงเย็นๆ ราวๆ หกโมงครึ่งของคืนก่อนหน้าที่จะมี Quiz

หลังเลิกเรียนของวันที่ผมนัดโบว์ไว้ ผมก็กลับบ้าน และขณะนั้นเป็นเวลาราวห้าถึงหกโมงเย็น ซึ่งมันยังไม่ถึงเวลานัดของผมครับ ผมจึงงีบหลับรอเวลา...

...เวลาผ่านไป ผมตื่นมาอีกทีตอนสองทุ่มครึ่งครับ ผมงงว่าทำไมไม่มีโทรศัพท์มาปลุก ผมจึงรีบเช็คดูโทรศัพท์มือถือ เปิดดูสายที่ไม่ได้รับก็ปรากฏว่าไม่มีครับ...เอาแล้ว เพื่อนผมผิดนัด...และด้วยความงอน ผมเลยไม่โทรกลับไป ค่อยไปคุยกับโบว์ในวันรุ่งขึ้นแล้วกัน

เช้าวันต่อมา ผมก็ทำ Quiz ไปตามเท่าที่ผมอ่านหนังสือ ซึ่งก็ทำได้ปกติดีครับ เพียงแต่ว่าถ้าหากติวกับเพื่อน คงจะไม่ต้องเสียเวลามาอ่านคนเดียว และหลังจาก Quiz ผมก็เลยหันไปแซวโบว์เรื่องผิดนัด

ผม: ไหนบอกว่าจะโทรไปติวหนังสือกันไง ผิดนัดนี่
โบว์: ก็เธอมัวแต่อยู่ที่โรงแรมเราก็เลยไม่กล้าโทรไปกวน

โบว์ตอบคำถามของผมพร้อมหัวเราะด้วยความขำขัน แต่ผมงงครับ งงว่าโรงแรมอะไร ทำไมต้องโรงแรม ว่าแล้วก็ไม่รอช้า ผมรีบสืบเรื่องจากโบว์ทันทีซึ่งโบว์เล่าว่าโบว์โทรไปหาผมตามเวลาที่นัดไว้เป๊ะ แต่พอผมรับกลับได้ยินเสียงผมที่แสนจะงัวเงีย ซึ่งบทสนทนาระหว่างผมกับโบว์ในขณะนั้นเป็นดังนี้ครับ

ผม: (เสียงงัวเงีย) ฮัลโหล
โบว์: ฮัลโหล เธออยู่ไหน
ผม: อยู่โรงแรม
โบว์: อยู่โรงแรม? ไปทำอะไรที่โรงแรม?!?
ผม: นอนดิวะ!!!
โบว์: โอเคๆ งั้นเราไม่กวนแล้วล่ะ
ผม: เออ!
...

สรุปได้ว่าผมละเมอครับคุณผู้อ่าน แล้วละเมอได้น่าเกลียดด้วย มิน่าล่ะครับ โทรศัพท์มือถือของผมถึงไม่ได้มีหมายเลขที่ไม่ได้รับ เพราะผมรับโทรศัพท์ไปโดยไม่รู้ตัว และจนทุกวันนี้ผมก็ยังไม่เข้าใจเหมือนกันครับ ว่าทำไมต้องโรงแรม




สิ่งเดียวที่ผมรู้ก็คือร่างกายคนเรามักจะเล่นกลกับเราเสมอครับ ผมกำลังรออยู่ว่ากลต่อไปที่ร่างกายและสมองของผมจะเล่นคืออะไร เผื่อว่าคราวหน้าผมจะได้มีเรื่องแปลกๆ มาเล่าสู่กันฟังครับ

Wednesday, November 21, 2007

เขตหวงห้าม

เมื่อวานนี้ผมได้รับมอบหมายจากคุณแม่ของผมให้เป็นตัวแทนคุณแม่ไปเยี่ยมผู้ป่วยที่โรงพยาบาลจุฬาฯ ฟังดูไม่ยากเย็นอะไร แต่เมื่อวานนี้เป็นวันที่ผมตั้งใจเอาไว้ว่าจะเสพบ้านน่ะสิครับ เลยรู้สึกว่าผิดแผน แต่ก็อย่างว่าแหละครับ ด้วยความเป็นบุตรที่ดี มีหรือที่จะปฏิเสธ (แต่บ่นไปหลายยก)

การเดินทางของผมครั้งนี้ผมอาศัยความสะดวกสบายของบริการรถสาธารณะครับ เพราะผมจะเป็นหนึ่งในผู้ช่วยลดมลภาวะโลกร้อน ฟังดูดีมั้ยครับ แต่ที่จริงแล้วมันเป็นเหตุผลรอง เพราะเหตุผลหลักจริงๆ คือผมขี้เกียจขับรถ ขี้เกียจไปหาที่จอดรถ และไม่อยากจะเติมน้ำมันรถที่ใกล้หมดเต็มที สรุปรวบยอดแล้วก็คือขี้เกียจนั่นเอง แต่อยากสร้างเหตุผลที่ดูดีด้วยการขมวดเหตุผลทุกอย่างกลับไปสู่ประเด็นโลกร้อนยอดฮิต

นอกเหนือจากต้องไปเป็นตัวแทนไปเยี่ยมผู้ป่วยแล้ว คุณแม่ของผมมีคำขอร้องพิเศษครับ คือให้ซื้อซุปไก่สกัดไปเยี่ยม และต้องเป็นกระเช้าเท่านั้น เอาล่ะสิครับ ทำไมต้องทำให้มันยากด้วยครับคุณแม่?!?

เมื่อไปถึงโรงพยาบาลจุฬาฯ ผมก็ศึกษาแผนที่โรงพยาบาลเพื่อจะได้ทราบว่าตึกที่ผมควรไปตั้งอยู่ส่วนไหน และเมื่อทราบแล้ว ผมก็ไม่รอช้า มุ่งหน้าไปยังที่หมายทันที และระหว่างทางผมก็ได้กวาดสายตาหาร้านค้าที่จำหน่ายกระเช้าเยี่ยมผู้ป่วย


ความรู้สึกของการเดินในโรงพยาบาลจุฬาฯของผมครั้งนี้ บอกตรงๆ ครับ ว่าเหมือนเดินในโบราณสถานที่หนึ่ง เพราะตึกแต่ละตึกนั้นเก่าเหลือเกิน ลำพังตึกเก่านี่ยังพอมองผ่านได้บ้างครับ แต่ป้ายของแต่ละตึกนี่สิครับ มันเก่าจริงๆ

ระหว่างที่เดินไปพลาง มองหาร้านค้าไปพลาง ผมก็คุยโทรศัพท์ไปด้วยเพื่อเป็นการแก้เขินในสถานที่ที่ไม่คุ้นเคย และทันใดนั้น ผมก็เห็นทางเข้าไปในร้านค้าเล็กๆ ผมเลยมีความหวังว่าต้องมีกระเช้าขายเป็นแน่ แต่เขาทำให้ผมผิดหวังครับ เพราะมีแต่ขนม เครื่องดื่มและผลไม้ ผิดจากสเปคที่คุณแม่ผมสั่งไว้ และผมก็รู้สึกว่าในขณะที่ผมก้าวเข้าไปในนั้น คนแถวนั้นต่างจับตามองมาที่ผม แต่ผมก็ไม่ได้สนใจอะไรครับ ยังสนทนากับเพื่อนทางโทรศัพท์ต่อไป


ผมเดินไปจนถึงที่หมาย แต่ไร้ซึ่งกระเช้าเยี่ยมผู้ป่วย ซึ่งครั้นจะไปเยี่ยมตัวเปล่าๆ เลย ก็รู้สึกผิด ก็เลยเดินวนไปวนมาอยู่พักใหญ่ ถามคนที่นั่นไปเรื่อยๆ ว่ามีที่ไหนขายกระเช้าบ้าง แต่เมื่อไปตามทางที่เขาบอกก็ปรากฏว่าไม่มีครับ เหมือนโดนกลั่นแกล้ง แต่ในที่สุด ด้วยความพยายามที่มีเข้ามาเป็นระยะๆ ผมก็สอบถามจนได้มาซึ่งกระเช้า ก็ไม่เชิงกระเช้าเสียทีเดียว แต่เป็นกิฟท์เซ็ทซุปไก่สกัด ที่หน้าตาพอใช้

เมื่อภาระกิจกระเช้าของผมเสร็จสิ้น ผมก็สะสางภาระกิจที่เหลือซึ่งก็คือไปเยี่ยมผู้ป่วย ระหว่างทางที่ผมเดินไปผมเดินผ่านร้านค้านั้นที่ผมกล่าวมาแล้วเป็นรอบที่สอง แต่คราวนี้ผมเห็นอะไรมากกว่าแค่ทางเข้าครับ เขามีป้ายติดไว้ข้างประตูซึ่งเขียนว่า “เขตหอพักพยาบาล ห้ามบุคคลภายนอกเข้า” เท่านั้นแหละครับ ผมก็เลยถึงบางอ้อทราบได้ทันทีว่าเหตุที่คนแถวนั้นเขามองผมนั้นก็เป็นเพราะผมเข้าไปในสถานที่ที่ผมไม่ควรเข้าไปนี่เอง


เหตุการณ์ครั้งนี้สอนผมว่าอย่ามองข้ามสิ่งเล็กๆ แม้ว่ามันจะเก่าสักแค่ไหน ซึ่งในที่นี้ก็คือป้ายห้ามเข้าอันเก่าแก่ที่เขาแขวนไว้หน้าประตูนั่นเอง และนอกจากนี้ยังสอนให้ผมเป็นคนช่างสังเกตในสถานที่ที่ไม่คุ้นเคยมากขึ้นครับ

Monday, November 19, 2007

สะกดจิต


จากประสบการณ์การ ”เมา” ที่ผมได้เล่าไว้ให้ท่านผู้อ่านได้รับทราบเมื่อสองเรื่องก่อน ครั้งนี้ผมกลับมายืนยันครับว่าทุกวันนี้ผมก็ยังมีอาการเมาอยู่ จะมากจะน้อยแล้วแต่วัน และผมเคยปรึกษาแพทย์ถึงอาการเมานี้ว่ามีวิธีไหนบ้างที่จะทำให้ผมหลุดพ้นจากความทรมานที่หลีกเลี่ยงไม่ได้นี้โดยไม่ต้องพึ่งยา และคำตอบที่คุณหมอได้ให้กับผมก็คือให้ผมอดทนครับ...เหมือนที่เดาคำตอบไว้ในใจไม่มีผิด เพราะว่าการเมาเครื่องบินนี้เกิดจากความไม่เคยชินของร่างกายอย่างที่ผมกล่าวไป และต้องใช้เวลาให้ร่างกายปรับตัวเข้ากับสิ่งแวดล้อมนั้น ซึ่งถ้าใช้ยาก็จะทำให้การปรับตัวของร่างกายช้าลง

แต่เท่านั้นยังไม่พอครับ ผมถามย้อนกลับถามคุณหมอว่ามีวิธีอื่นอีกมั้ย ซึ่งก็มีครับ คือการว่ายน้ำ หลังจากได้ยินคำตอบ ผมก็คิดในใจอีกรอบครับว่าถ้าว่ายน้ำแล้วหายจริงมันก็หมูๆครับ ผมจะไปแข่งทศกรีฑาเลยจะได้หายเมาไวๆ แต่มันไม่ใช่ครับ มันไม่ใช่การว่ายน้ำธรรมดา สิ่งที่คุณหมอแนะนำคือการตีลังกาใต้น้ำซึ่งให้ความรู้สึกเหมือนการเมาเครื่องบิน และเมื่อทำบ่อยๆ ก็จะชินไปเอง แต่เอาเข้าจริงลำพังจะไปว่ายน้ำก็ขี้เกียจแล้ว จะให้ไปตีลังการอีก ยิ่งสร้างความขี้เกียจให้ผมเข้าไปใหญ่

คำแนะนำของคุณหมอทำให้ความฝันของผมสลายไปเสียอย่างนั้น และในเมื่อมันต้องจำใจรับสภาพ ผมก็เลยหาวิธีแก้อาการเมาด้วยตัวเองเสียเลย ซึ่งมันไม่ต้องพึ่งยา ไม่ต้องมีความสามารถพิเศษใดๆ และไม่ต้องใช้ไสยศาสตร์มนต์ดำ มันคือการ“สะกดจิต”ตัวผมเองครับ มันสะดวกกว่าวิธีใดๆ เพียงแต่ว่ามันยากแค่นั้นเองครับ ยากพอๆ กับการฝึกนั่งสมาธิใหม่ๆ เลยล่ะ ผมลองแล้วปรากฏว่าได้ผลดีครับ พออาการมันเริ่มวูบมา ผมก็เริ่มบอกกับตัวเองว่า “ไม่เมา ไม่เมา ไม่เมา...” เชื่อมั้ยครับว่ามันหายเมาจริงๆ มันอาจจะไม่ได้ผลทุกครั้ง แต่ถึงอย่างไรผมก็ยังเชื่อมั่นในการสะกดจิตตัวเองครับ

การสะกดจิตนี้ยังสามารถประยุกต์ใช้ได้กับหลายกิจกรรมในชีวิตประจำวันครับ เพราะการทำอะไรทุกๆ อย่างมันมีส่วนประกอบหลักอยู่สองสิ่ง คือ กายกับใจ ซึ่งถ้ากายมันไหวแต่ใจมันสั่งว่าไม่ไหว มันก็จะไม่ไหวจริงๆ แต่ถ้าหากว่าเราลองเปลี่ยนให้ใจคิดว่าเรายังทำได้ เชื่อหรือไม่ครับว่าเราจะทำได้อย่างที่ใจสั่งจริงๆ ดีไม่ดีอาจจะทำได้เกินคาดด้วยซ้ำไป


ผมมองว่าการสะกดจิตตัวเองนี้ไม่ต่างอะไรไปจากพุทธศาสนสุภาษิตที่ว่า “อตฺตาหิ อตฺตโนนาโถ...ตนเป็นที่พึ่งแห่งตนครับ พูดแบบง่ายๆ ก็คือไม่มีใครจะสามารถทำอะไรให้เราได้ดีและถูกใจเท่าตัวเราเอง ลองนำวิธีการที่ไม่ต้องไปรบกวนใครวิธีนี้มาลองใช้กับชีวิตประจำวันของคุณดูสิครับ แล้วคุณจะทราบถึงความสามารถของจิตเราที่โดนสะกดด้วยตัวเราเอง

Tuesday, November 13, 2007

ร.เรือพายไป (ไหน?)

“ก.เอ๋ย ก.ไก่ ข.ไข่ในเล้า ฃ.ฃวดของเรา ค.ควายเข้านา... ฮ.นกฮูกตาโต” ถ้าเราย้อนเวลากลับไปในช่วงที่เราเริ่มต้นชีวิตวัยประถม การท่องอักษรไทยทั้ง 44 ตัวนี้เป็นสิ่งที่แทบจะเรียกได้ว่าเป็นกิจวัตรเลยก็ว่าได้ แต่เคยสงสัยกันมั้ยครับว่าทำไมปัจจุบันนี้เราเหลือใช้กันเพียง 42 ตัว พอจะนึกออกมั้ยครับสองตัวอักษรที่หายไปคืออะไร...มันคือ ฃ.ขวด กับ ฅ.คน ไงครับ เท่าที่ผมทราบเนี่ย สาเหตุของการหายตัวไปของสองตัวอักษรนี้ เป็นเพราะเครื่องพิมพ์ดีดไม่มีที่ว่างเพียงพอสำหรับอักษรไทย สระและพยัญชนะทั้งหมด และด้วยความที่ ฃ.ขวด และ ฅ.คน มีการออกเสียงคล้าย ข.ไข่ และ ค.ควาย สองตัวอักษรนี้ต้องกลายเป็นอักษรผู้เสียสละไป แต่เท่าที่ผมทราบ นักภาษาศาสตร์ได้ให้ข้อมูลว่า ฃ.ขวด และ ฅ.คน นี้ ไม่ได้ออกเสียงเหมือน ข.ไข่ และ ค.ควายเสียทีเดียว เพราะจะมีการสั่นของลำคอมากกว่า

แต่พักหลังๆ นี้ ผมเริ่มมาสังเกตว่า ไม่ใช่เพียง ฃ.ขวด และ ฅ.คน เท่านั้นที่หายไป เพราะตัวอักษรตัวที่ 35 ซึ่งก็คือ ร.เรือ ก็เริ่มหายไปจากภาษาไทยแล้วเหมือนกัน โดยการถูกแทนที่ด้วย ล.ลิง ผมต้องบอกไว้ก่อนเลยครับว่า ผมเองก็ไม่ใช่คนที่พูดภาษาไทยชัดเจนทุกคำ แต่ถ้าเป็นไปได้ผมมักจะเตือนสติตัวเองเสมอว่า ถ้าจะพูดก็พูดให้มันถูกสักหน่อย


ผมพอเข้าใจครับว่าการออกเสียง ร.เรือ ที่ต้องออกเสียงมาตั้งแต่ในลำคอนั้น ใช้พลังงานมากกว่าการออกเสียง ล.ลิง ซึ่งทำได้ง่าย เพียงแค่กระดกปลายลิ้น และผู้ฟังก็สามารถเข้าใจความหมายของคำได้โดยไม่มีปัญหาอะไร แต่ผมก็อดเสียดายแทนพ่อขุนรามคำแหงผู้ทรงคิดค้นและประดิษฐ์อักษรไทยไม่ได้ ที่คุณค่าและความงดงามของภาษากำลังเลือนหายไปเรื่อยๆ และที่น่าเสียดายที่สุดคือบรรดาสื่อมวลชนที่คนทั้งประเทศจับตามอง รวมถึงคนของประชาชนหลายๆ ท่าน ก็ลืมไปเสียแล้วว่าเรามี ร.เรือ ในภาษาไทยของเราด้วย ทั้งๆ ที่บางท่านมี ร.เรือ อยู่ในชื่อตัวเองแท้ๆ

มีอยู่ครั้งหนึ่ง ผมเรียนวิชา Language and society ที่มหาวิทยาลัย แล้วอาจารย์ผู้สอนชาวอเมริกันท่านเคยถามในห้องเรียนว่าทำไมคนไทยใช้ ตัว L (ล.ลิง) แทน R (ร.เรือ) ซึ่งถ้าเป็นภาษาอังกฤษ การสลับที่ของสองตัวอักษรนี้ ทำให้ความหมายของคำผิดไปโดยสิ้นเชิง คำถามของอาจารย์ท่านนี้ได้ใจผมมาก เพราะมันทำให้ผมรู้สึกว่าทำไมเจ้าของภาษาไม่รู้สึกแยแสอะไรกับสิ่งที่ตนเองเป็นเจ้าของ ในขณะที่คนต่างชาติเขาสงสัยในภาษาที่เขาพูดได้น้อยนิด

คงยังไม่สายถ้าหากเราลองตั้งสติพูดและออกเสียงภาษาไทยให้ถูกต้อง เพราะผมเชื่อครับว่าคนไทยทุกคนสามารถทำได้เพราะเราทุกคนเกิดมากับมันและได้รับการเรียนรู้และฝึกฝนมาตั้งแต่เด็ก เพียงแต่โดนความขี้เกียจเข้าครอบงำเท่านั้นเอง รีบกันเสียก่อนที่จะไม่เหลือภาษาไทยให้อนุรักษ์กันเถอะครับ ก่อนจบผมไปเจอกลอนบทหนึ่งเกี่ยวกับการใช้ภาษาไทยซึ่งเรียบเรียงโดยครูพิม จากเวบ http://www.thaipoem.com/ มาให้อ่านกันเพื่อเป็นการเตือนใจถึงทรัพย์สมบัติทางภาษาที่เรามีครับ



ภาษาไทยงดงามด้วยน้ำเสียง
ถ้อยเรียบเรียงหวานหูไม่รู้หาย
สื่อความคิดสื่อความรู้สื่อแทนกาย
สื่อความหมายด้วยภาษาน่าชื่นชม

เกิดเป็นไทยภาษาไทยเขียนให้คล่อง
กฎเกณฑ์ต้องรู้ใช้ให้เหมาะสม
จะพูดจาน่าฟังทั้งนิยม
เจ้าคารมเขาจะหมิ่นจนสิ้นอาย

ภาษาพูดสนทนาพูดจาทัก
เป็นสื่อรักสื่อสัมพันธ์ความมั่นหมาย
แม้นพูดดีมีคนรักมักสบาย
แต่พูดร้ายส่อเสียดคนเกลียดกัน

วัฒนธรรมล้ำค่าภาษาสวย
ทุกคนช่วยออกเสียง “ร” ขอสร้างสรรค์
แม้นออกเสียง เป็น “ล” เขาล้อกัน
คนจะหยันชาติเราไม่เข้าที

สระ “เอือ เป็น “เอีย” ฟังเพลียนัก
บอกที่รัก ช่วยซื้อ “เกีย”..ที่ร้านนี่
ขอ “ซมเซย” จะเชยแท้ แม้พาที
วอนน้องพี่ต้องช่วยกันจรรโลงไทย

ผมได้เลิกแต่งงานในวันนี้
เป็นเลิกดีเลิกงามยามสดใส
ออกเสียงฤกษ์ เป็นเลิก ครั้งคราใด
คงทำให้สื่อสารผิด..คิดเสียดาย

ภาษาไทยงดงามด้วยความคิด
แม้นอ่านผิดก็เขียนผิด..คงเสียหาย
เขียนอ่านไทยให้ถูกด้วยช่วยผ่อนคลาย
สื่อทั้งหลาย..ต้องช่วยกัน..นั้นอีกแรง

Wednesday, November 7, 2007

เมา

คงคุ้นกันดีนะครับสำหรับคำว่า “เมา” เพราะว่าไม่ว่าในวัยไหนนับตั้งแต่วัยรุ่นขึ้นไป มักจะมีการสังสรรค์ด้วยการดื่มเป็นธรรมดา แต่การเมาของผมในเรื่องนี้ไม่ได้เป็นผลของแอลกอฮอล์ครับ แต่มันเกิดขึ้นจากการเดินทาง...ไม่ใช่ทางบก ไม่ใช่ทางน้ำ แต่เป็นทางอากาศครับ หรือพูดง่ายๆ ว่า “เมาเครื่องบิน” นั่นเอง

การเมาเครื่องบินก็ไม่ต่างไปจากอากาศเมารถหรือเมาเรือ เกิดขึ้นได้กับทุกคนอย่างไม่มีข้อยกเว้นซึ่งขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายของแต่ละบุคคล สาเหตุของการเมาเกิดจากความขัดแย้งระหว่างสิ่งที่รู้สึก (ความเคลื่อนไหวของยานพาหนะที่เรากำลังโดยสารอยู่) กับภาพที่เห็น (สิ่งที่กำลังเคลื่อนไหวภายนอกยานพาหนะ) ซึ่งมันคือการสับสนในตัวเองของแท้เลยแหละครับ และเวลาเกิดการเมาเครื่องบินขึ้น ผู้ที่รับรู้การเมาจะมีอาการเวียนศีรษะ คลื่นไส้ เหงื่อออกมาก หน้าซีด ปากซีด และถ้าหนักหน่อยก็จะถึงขั้นอาเจียร ฟังดูอาจจะไม่รุนแรง เพราะว่าอาการเหล่านี้แค่พักสักครู่มันก็จะหาย แต่...อาชีพอย่างผมที่ต้องใช้ชีวิตอยู่บนเครื่องบินนี่สิครับ มันไม่ง่ายที่จะไปนั่งพักสักเท่าไหร่ เพราะไม่อย่างนั้นงานมันจะสะดุด

ฟังดูอาจจะไม่น่าจะเป็นไปได้ แต่ทุกวันนี้ผมทำงานอยู่บนเครื่องบินสองประเภท คือแอร์บัส A330-300 หรือเรียกว่า A333 และแอร์บัส A300-600 หรือที่มีชื่อเล่นว่า B6 ซึ่งผมไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องเมาเครื่องกับเครื่อง 330 เท่าไหร่ แต่เมื่อไหร่ที่ต้องบินกับเครื่อง B6 นี่สิครับ ความรู้สึกหวาดผวา และกระอักกระอ่วนต่ออาการเมาเครื่องบินจะวิ่งเข้ามาหาในทันใด ผมคาดว่าสาเหตุมันคงเกิดจากการที่อยู่ท้ายลำที่มีการสั่นสะเทือนพอตัว กับอากาศท้ายลำที่ไม่ค่อยจะถ่ายเทเท่าไหร่ อากาศทั้งหมดที่ผมกล่าวมาในข้างต้น ผมสัมผัสมาด้วยตัวเองทั้งสิ้น มันทรมานมากครับ ยิ่งเครื่องบินใกล้จะลงอาการยิ่งเป็นหนัก

ในช่วงแรกของการเมาเครื่องบิน ผมพยายามศึกษาหาต้นเหตุของอาการเมาเครื่องบิน ซึ่งผมค้นพบว่า การพักผ่อนไม่เพียงพอและการไม่รับประทานอาหารก่อนไปปฏิบัติงานเป็นสาเหตุหลักของการเมาเครื่องบิน และในบางครั้งเมื่อเกิดอาการผมก็จะหยิบมะนาวขึ้นมาหนึ่งแว่น หรือผลไม้เปรี้ยวๆ เช่นมะขาวขึ้นมาเคี้ยวและพกยาดมเพื่อบรรเทาอาการเมาเครื่อง



ดูเหมือนว่าปัญหาได้รับการแก้ไข แต่เรื่องมันไม่ได้จบเท่านั้นครับ เพราะยังไงซะ ผมก็ยังเมาเครื่องบินอยู่ดี จนในที่สุดผมต้องหันมาหาทางแก้ไขที่ผมไม่อยากทำ นั่งคือพึ่งยาแก้เมาเครื่องบินนามว่า Dramamine ครับ หนทางนี้ผมจะเลือกใช้ก็ต่อเมื่อเริ่มรู้สึกว่าถ้าผมอดทนต่อไปแล้วอาจจะไม่รอด มันได้ผลมากครับ แต่ผลข้างเคียงของยาตัวนี้คืออาการง่วงซึม ซึ่งถือเป็นความทรมานขั้นอ่อนๆ โดยเฉพาะเวลานั่งประจำที่แล้วหันหน้าเข้าหาผู้โดยสาร มีอยู่ครั้งหนึ่ง ผมแทบจะหลับโชว์ผู้โดยสารเพราะผลข้างเคียงของเจ้ายาตัวนี้



เห็นทีว่าการรับประทานยาที่มีผลข้างเคียงไม่ใช่ทางเลือกที่ดี ผมก็เลยไปหาข้อมูลในอินเตอร์เน็ตถึงวิธีการแก้และป้องกันการเมาเครื่องบินโดยไม่ต้องพึ่งสารเคมี ซึ่งโลกแห่งข้อมูลก็เป็นใจให้คำแนะนำกับผมว่าการรับประทานขิงจะช่วยได้ ซึ่งเป็นสูตรที่ใช้มาตั้งแต่สมัยโบราณ เมื่อทราบถึงทางเลือกใหม่ ผมรู้สึกตื่นเต้นดีใจและเครียดเล็กน้อยครับ เพราะตั้งแต่เกิดมาไม่มีครั้งไหนในชีวิตที่ผมคิดจะรับประทานขิงเว้นแต่จะโดนบังคับ แต่เพื่อชีวิตที่ดีกว่าผมจำเป็นต้องยอมครับ ผมไปหาซื้อขิงสกัดอัดเม็ดตามร้านขายยาแต่ปรากฏว่ามันไม่ได้หากันได้ง่ายๆ ผมจึงซื้อเครื่องดื่มขิงผงสำเร็จรูปมาแทน เวลาดื่มก็เติมน้ำตาลและกลั้นใจนิดหน่อย คิดเสียว่าเพื่อชีวิตที่ดีขึ้น แต่ความหวังของผมก็พังทลายครับ เพราะว่าน้ำขิงแก่ของผมไม่ได้ช่วยให้ผมหายเมาเครื่องเลยแม้แต่น้อย แถมวันที่ผมดื่มน้ำขิงก็เป็นวันที่ผมเมาเครื่องหนักที่สุดด้วย จะโทษน้ำขิงก็ไม่ได้ เพราะผมไม่เชื่อว่าน้ำขิงเป็นต้นเหตุ ในเมื่อวิธีการป้องกันแบบธรรมชาติไม่ช่วย ผมจึงต้องกลับไปพึ่งยาเหมือนเดิมครับ แต่ลดปริมาณลงครึ่งหนึ่ง เพื่อกันการง่วงนอน



มีอีกหนึ่งทางแก้ไขซึ่งผมยังไม่เคยได้ลองนั่นก็คือการใช้ยาหม่องทาบริเวณท้อง และปิดพลาสเตอร์ทับลงไป เพื่อนของผมบอกว่าได้ผล เพราะเขาลองมาแล้ว แต่ผมก็ไม่เคยคิดจะลองด้วยเหตุผลสองประการครับ คือ หนึ่ง...ผมคิดว่ามันมีผลแค่ทางใจ และ สอง...ผมขี้เกียจปลดกระดุมแล้วทายาหม่อง เพราะลำพังเมาเครื่องบินก็แย่พออยู่แล้ว อย่าให้ลำบากไปกว่านี้เลย


ไม่ว่าผมจะเมาเครื่องบินมาก หรือน้อย หรือไม่เมาเลย ผมก็ยังใช้ความอดทนเพื่อต่อสู้กับมันครับ เพราะผมเชื่อว่าความอดทนนี่แหละ ที่จะทำให้ผมเอาชนะอาการเมาเครื่องบินได้ เพียงแต่รอเวลาให้มันเป็นผลเท่านั้นเอง แต่ถ้าใครมีวิธีที่ดีจะแนะนำผมก็ไม่ว่ากันนะครับ..ขอขอบคุณล่วงหน้าครับ

Friday, October 26, 2007

ฝึกสมองไบรท์ด้วย 9 เทคนิค


ผมได้ยินคนเขาพูดกันถึงหนังสือ อัจฉริยะสร้างได้ และ คุณหนูดี หรือ วนิษา เรซ ผู้เชี่ยวชาญทางด้านอัจฉริยภาพ ผมเลยเกิดความสงสัยใคร่รู้ถึงวิธีสร้างตนให้เป็นคนมีสติปัญญาบ้าง เลยไปหาซื้อหนังสือของคุณหนูดีมาอ่าน เชื่อมั้ยครับว่าหนังสือของคุณหนูดีขายดีขนาดที่ผมแวะไปร้านหนังสือไหน คำตอบที่ผมได้รับคือ “หมดแล้วครับ/ค่ะ” แต่ผมไม่ย่อท้อครับ เมื่อวันก่อน ผมไปงานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติที่ศูนย์สิริกิตติ์ และหาซื้อหนังสือ อัจฉริยะสร้างได้ มาไว้ในครอบครองได้ตามความตั้งใจ ขอสารภาพครับว่ายังไม่ได้อ่าน เพราะช่วงนี้ซื้อหนังสือมาหลายเล่ม แต่เผอิญผมเคยได้รับ Forward mail ซึ่งก็เป็นเหตุบังเอิญอีกเช่นกันที่เป็นเรื่องที่ถอดในความมาจากบทความของคุณหนูดี ถึง 9 วิธีฝึกสมองไบรท์ ผมเลยนำมาแบ่งปันให้ท่านผู้อ่านครับ เรามาดูกันดีกว่าว่า 9 วิธีที่ว่านี้มีอะไรกันบ้าง

1.จิบน้ำบ่อยๆ สมองประกอบด้วยน้ำถึง 85% และเซลล์สมองก็เหมือนต้นไม้ที่ต้องการน้ำหล่อเลี้ยง หากขาดน้ำเซลล์สมองเหล่านี้ก็เหี่ยวแห้งไม่ต่างจากต้นไม้ครับ เมื่อเซลล์สมองเหี่ยว ก็จะส่งผลให้การทำงานของสมองช้าลง กลายเป็นคนคิดช้าหรือคิดไม่ค่อยออก เพราะฉะนั้นในแต่ละวันควรดื่มน้ำบ่อยๆ ครับ


2. กินไขมันดี สมองก็คือก้อนไขมัน ซึ่งจำเป็นต้องมีไขมันดีไปทดแทนส่วนที่สึกหรอ ดังนั้นในแต่ละวันจึงควรรับประทานไขมันที่ดีจำพวกน้ำมันปลา สารสกัดใบแปะก๊วย นมถั่วเหลือง วิตามินรวม ปลาที่มีไขมันดีอย่างเช่นปลาแซลมอน หรือน้ำมันพริมโรสซึ่งอาหารเหล่านี้เป็นไขมันที่ทำให้เซลล์ชุ่มน้ำครับ ส่วนวิตามินจะให้ร่างกายสดชื่น


3. นั่งสมาธิวันละ 12 นาที หลังจากตื่นนอนแล้ว ให้ตั้งสติและนั่งสมาธิทุกเช้า เป็นเวลา 12 นาที เพื่อให้สมองเข้าสู่ช่วงที่มีคลื่น Theta ซึ่งเป็นคลื่นที่สร้างความผ่อนคลาย ทำให้สมองสามารถจินตนาการการเห็นภาพและมีความคิดสร้างสรรค์ แต่ถ้าหากไม่มีเวลาในช่วงเช้า จะนั่งสมาธิก่อนนอนก็ได้ครับ


4. ใส่ความตั้งใจ การตั้งใจในสิ่งใดก็ตามก็เหมือนกับการตั้งโปรแกรมสมองว่านี่คือสิ่งที่ต้องเกิด ในระหว่างวันสมองจะปรับพฤติกรรมเราให้ไปสู่เป้าหมายนั้น ทำให้ประสบความสำเร็จในสิ่งต่างๆ ครับ เพราะสมองไม่แยกแยะระหว่างสิ่งที่ทำจริงกับสิ่งที่เกิดขึ้น ทั้งสองอย่างจึงเป็นเสมือนสิ่งเดียวกัน



5. หัวเราะและยิ้มบ่อยๆ ทุกครั้งที่เรายิ้มหรือหัวเราะนั้นร่างกายจะหลั่งสารเอ็นโดร์ฟีน หรือสารแห่งความสุข เมื่อสารเอ็นโดร์ฟีนหลั่งออกมาก็เป็นการกระตุ้นให้เรามีความอยากรักและหวังดีต่อคนอื่นๆ ครับ


6. เรียนรู้สิ่งใหม่ทุกวัน สิ่งใหม่ในที่นี้หมายถึงสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นการรับประทานอาหารร้านใหม่ๆ รู้จักเพื่อนใหม่ อ่านหนังสือเล่มใหม่ คุยกับเพื่อนร่วมงานและปรียนรรู้วิธีการทำงานของเขา ฯลฯ และการเรียนรู้สิ่งใหม่นี้ ทำให้สมองหลั่งสารเอ็นโดร์ฟีนและโดปามีน ซึ่งเป็นสารแห่งการเรียนรู้ กระตุ้นให้อยากเรียนรู้และสร้างสรรค์ไปเรื่อยๆ เมื่อมีความสุขก็เท่ากับมีความคิดสร้างสรรค์


7. ให้อภัยตัวเองทุกวัน ขณะที่การไม่ให้อภัยตัวเอง โกรธคนอื่น โกรธตัวเอง ทำให้เปลืองพลังงานสมอง การให้อภัยตัวเอง หรือให้อภัยผู้อื่นก็เท่ากับเป็นการลดภาระของสมองครับ



8. เขียนบันทึก การฝึกเขียนขอบคุณสิ่งดีๆ (Graceful journal) ที่เกิดขึ้นแต่ละวันลงในสมุดบันทึก เช่นขอบคุณที่มีครอบครัวที่ดี ขอบคุณที่มีสุขภาพที่ดี ฯลฯ ทำให้สมองคิดในเชิงบวก พร้อมกับหลั่งสารที่ดีออกมา ช่วยให้หลับสบายตื่นมาทำสมาธิได้ง่าย และมีความคิดสร้างสรรค์ครับ



9. ฝึกหายในลึกๆ สมองต้องใช้ออกซิเจน 20-25% ของออกซิเจนที่เข้าสู่ร่างกาย การฝึกหายในเข้าลึกๆ จึงเป็นการส่งพลังงานที่ดีไปยังสมอง ควรนั่งหลังตรงเพื่อให้ออกซิเจนเข้าสู่ร่างกายได้มากขึ้น ถ้านั่งทำงานนานๆ อาจหาเวลายืน หรือเดินยืดเส้นยืดสายเพื่อให้ปอดขยายใหญ่ สามารถนำออกซิเจนเปอดได้เพิ่มขึ้นอีก 20%


เห็นมั้ยครับว่าเพียงแค่ 9 วิธีง่ายๆ ทำที่ไหนและเมื่อไหร่ก็ได้ สามารถบริหารสมองหรือศูนย์สั่งการของร่างกายเราได้ และสมองของเราก็เหมือนกับทักษะทั่วไปที่ต้องอาศัยการฝึกฝนและพัฒนาอยู่เสมอ เมื่อเรามีสมองที่ดี คุณภาพชีวิตของเราก็จะดีตามครับ อย่าลืมนำไปปฏิบัติกันนะครับ

Wednesday, October 17, 2007

โรคระบาดทางวาจา

ท่านผู้อ่านรู้จัก “โรคห่า” มั้ยครับ คนสมัยก่อนเขาจะใช้คำนี้เรียกโรคระบาดที่คร่าชีวิตผู้คนคราวละมากๆ และคำว่า “ห่า” นี้ พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานได้ความหมายไว้ว่าเป็นชื่อผีจำพวกหนึ่ง ถือกันว่าทำให้เกิดโรคระบาดอย่างร้ายแรง เป็นเหตุให้คนตายจำนวนมาก และด้วยเหตุนี้คนโบราณจึงเรียกโรคระบาดว่า “โรคห่า” ตามที่ผมกล่าวไว้ครับ แต่ทุกวันนี้ผมสังเกตว่า คำว่า “ห่า” เป็นคำที่ใช้ในประโยคในที่พูดกันในหมู่เพื่อนฝูงเพื่อแสดงอารมณ์ไม่พอใจ หรือรู้สึกในแง่ลบกันสิ่งที่พูด

ผมเองก็เป็นหนึ่งในผู้ใช้คำนี้เช่นกัน แต่เลือกใช้เฉพาะกับกลุ่มบุคคลเท่านั้นครับ ไม่ได้พูดพร่ำเพรื่อ และวิธีการใช้คำว่า “ห่า” ของกลุ่มเพื่อนร่วมชั้นเรียนผมกลุ่มนี้เป็นสิ่งที่น่าสนใจทีเดียว คือเมื่อใดก็ตามที่เพื่อนคนหนึ่งในวงสนทนาเอ่ยคำว่า “ห่า” คนอื่นๆ ก็จะพูดคำว่า “ห่า” ตามๆ กันเป็นเวฟเหมือน “โรคห่า” ระบาดไม่มีผิด แต่แทนที่จะมีพาหะนำโรคเป็นสิ่งมีชีวิต กลับเป็นคำพูดและความรู้สึกไม่อยากแตกแยกเข้ามาแทนที่ เพราะว่าใครไม่พูดถือว่า ช้า และ ไม่เข้าพวก

ผมไม่ได้แนะนำให้ท่านผู้อ่านทำตามนะครับ เพราะถือว่าคำนี้ไม่ใช่คำที่คนทุกคนอยากฟังหรือได้ยิน แค่เป็นเรื่องเล่าสนุกๆ ที่ปนสาระความรู้ของภาษาไทยนิดหน่อยเท่านั้นเองครับ