Saturday, December 29, 2007

ทั่วไทยในวันเดียว

ด้วยอาชีพที่ต้องเดินทางเป็นหลักมันจึงเป็นเรื่องธรรมดาที่ผมมีโอกาสเห็นและสัมผัสกับสิ่งต่างบ้านต่างเมืองอยู่บ่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นทั้งในประเทศและต่างประเทศ

บางคนก็อิจฉาที่ผมได้เดินทางบ่อย แต่ผมว่าเรื่องเที่ยวมันเป็นแค่ผลพลอยได้ของการทำงานครับ เพราะหน้าที่หลักมันไม่ใช่ไปเที่ยวแต่เป็นการไปสร้างความสุขความสบายให้กับคนที่เราไม่รู้จัก


ถ้าถามผมตรงๆ ว่าระหว่างในประเทศกับต่างประเทศ อะไรดีกว่ากัน ผมเองก็ตอบไม่ได้ครับ เพราะว่าความแตกต่างทางชาติ ภาษา และวัฒนธรรม มันเป็นนามธรรมมาที่ไม่สามารถเปรียบเทียบกันได้ ไปต่างประเทศมันก็ดีตรงที่ได้เปิดหูเปิดตา กับได้ลองชิมอาหารรสชาติต้นฉบับ แต่โดยส่วนตัวแล้ว ผมชอบการทำงานภายในประเทศมากกว่า

ถึงแม้ว่ามันอาจจะฟังดูไม่ไฮโซฯ เท่าไหร่นัก แต่ผมบอกได้คำเดียวครับว่า ในประเทศนี่แหละเด็ดสุดแล้ว เนื่องด้วยภาษาสื่อสารที่ไม่ต้องแปลและตีความ (ใครทำตัวน่ารักก็รู้ ใครทำตัวให้รังเกียจก็เห็นได้ทันที) อาหารการกินที่อร่อยถูกปาก และเป็นการทำงานที่ง่ายและรวดเร็ว (เร็วจริงๆ ครับ เพราะโดยเฉลี่ยแล้วมันไม่ค่อยจะเกิน 1 ชั่วโมง)

มีอยู่หนหนึ่งครับ ผมไปทำงานในประเทศ ซึ่งหนึ่งในสามวันนั้น ผมเดินทางทั่วประเทศเลยทีเดียว เพราะในตอนเช้าผมตื่นนอนที่เชียงใหม่ แล้วไปกินข้าวเที่ยงตอนบ่านต้นๆ พร้อมกับซื้อของปลอดภาษีที่ภูเก็ต เสร็จแล้วก็แวะนั่งพักกับหาอะไรรองท้องที่กรุงเทพฯ ก่อนที่จะปิดฉากของวันนั้นด้วยการไปหาอะไรกินรอบดึกและเข้านอนที่ขอนแก่น



จบจากวันนั้นมาผมลองมาย้อนคิดดูก็อดคิดไม่ได้ว่ามันแปลกดี ที่ในหนึ่งวันผมไปซะทั่วประเทศเลยครับ ถึงแม้ว่าอาจจะไม่มีภาคตะวันออกกับตะวันตกเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยก็ตาม แล้วนอกจากนี้มันยังพาลให้ผมคิดไปอีกครับว่า ประเทศไทยมีอะไรดีๆ เยอะแยะมากมายที่ผมยังไม่รู้ และไม่เห็น ถ้าไม่เชื่อลองมานั่งนับดูสิครับ ว่า 76 จังหวัดในประเทศไทย เราไปมาครบรึยัง

Saturday, December 22, 2007

ขี้

ขี้ เมื่อเป็นคำนาม คือ ของเสียที่ร่างกายไม่ต้องการแล้วขับถ่ายออกมาทางทวารต่างๆ เช่น ขี้ไคล ขี้เล็บ


ขี้ ยังหมายถึงเศษหรือกากที่ออกมาจากสิ่งนั้นๆ เมื่อใช้ร่วมกับสิ่งของ เช่น ขี้เลื่อย ขี้กบ


ขี้ สามารถใช้ประกอบหน้าคำ เพื่อแสดงความหมายที่ไม่ดี หรือมักเป็นเช่นนั้น เช่น ขี้เกียจ ขี้โมโห


สรุปแล้วขี้มันคือของไม่ดี
มีมันอยู่ที่ไหน ก็มีแต่เรื่องลำบากที่นั่น
เมื่อทราบเช่นนี้แล้วคุณยังอยากจะมี "ขี้" ติดอยู่กับตัวอีกมั้ยครับ


Friday, December 14, 2007

ฟาดเคราะห์

เมื่อสองสามวันที่ผ่านมา ผมเดินทางไปนครเซี่ยงไฮ้ ประเทศจีน และโดยปกติ ผมมักจะตรวจสอบสภาพอากาศก่อนเดินทาง เพื่อที่จะได้เตรียมจัดกระเป๋าไปให้เหมาะสม และจากการตรวจสอบเวบไซต์พยากรณ์อากาศเจ้าประจำ (http://www.accuweather.com)/ ก็ทราบว่าอุณหภูมิที่เซี่ยงไฮ้อยู่ที่ประมาณ 8-12°C ครับ และมีฝนตกในวันที่ผมไปถึง

จากประสบการณ์หนาวสะท้านกายที่กรุงโซล ประเทศเกาหลี ซึ่งมีอุณหภูมิถึงขั้นติดลบ มันได้สอนผมเอาไว้ว่าอุณหภูมิติดลบที่น่ากลัว ผมยังอยู่ได้ และเสื้อกันหนาวที่จัดไปคราวนั้นก็อุ่นเกินพอดี แถมกินเนื้อที่ในกระเป๋าผมอย่างไม่น่าให้อภัย คราวนี้ผมเลยตัดสินใจว่าไปเซี่ยงไฮ้คราวนี้เตรียมเสื้อผ้าไปนิดเดียว แค่เสื้อแขนยาวกับเสื้อแจ๊กเก็ตกันลมกันฝนก็พอ ในเมื่ออุณหภูมิต่างกันตั้งเกือบ 10 องศา สบายๆ อยู่แล้ว

การตัดสินใจของผมคราวนี้ผมเองไม่ค่อยปลื้มเท่าไหร่ครับ เพราะเสื้อผ้าที่เตรียมไปนั้นมันพอจริงๆ...พอที่จะทำให้ผมแข็งตาย!! คิดดูสิครับว่าเสื้อแจ๊กเก็ตผ้าร่มที่กันลมได้นั้น พอเจออากาศเย็นเข้าไป เนื้อผ้าก็เย็นตามอากาศไปด้วย มันหนาวสะท้านได้อย่างสะใจจริงๆ ครับ


หลังจากที่ฝ่าฟันกับอากาศที่หนาวเข้ากระดูกแสนทรมาน ผมไปเดินเล่นที่ตลาดใต้ดินชื่อว่าเสี้ยนหยาง ซึ่งโดยปกติแล้วผมเป็นคนไม่ค่อยช้อปปิ้ง เพราะฉะนั้นการต่อรองราคาก็อาจจะไม่ชำนาญเท่าไหร่นัก แต่ไปเซี่ยงไฮ้ครั้งนี้ผมตั้งใจจะไปซื้อผ้าพันคอฝากสักสี่ห้าผืนกลับมาฝากแม่และเพื่อนผู้หญิงซึ่งหาได้ไม่ยากเลยครับ

ถ้าใครมีประสบการณ์ไปเที่ยวเมืองจีนคงจะทราบกันดีนะครับว่าพ่อค้าแม่ขายของชาตินี้นั้นเขาเกิดมาเพื่อตื้อและบอกผ่านจริงๆ ผมไปซื้อผ้าพันคอมาห้าผืน ผืนละ 50 หยวน หรือประมาณ 200 บาท ซึ่งราคาขายตามป้ายที่เขาติดไว้คือ 280 หยวน ดูเขาสิครับ ช่างเอาเปรียบผู้บริโภคเสียนี่กระไร แต่ 50 หยวนก็ใช่ว่าจะถูก เพราะว่าคนอื่นๆ เขาซื้อได้ในราคาผืนละ 10 หยวนน่ะสิครับ แต่ก็เอาเถอะครับ คราวนี้ผมไปคนเดียว ไม่กล้าจะต่อกรกับแม่ค้า ถ้าไปกับเพื่อนอีกคน ผมต่อเหลือแค่ 10 หยวนแน่นอน



หลังจากเดินให้เมื่อยขาเล่นที่ตลาดเสี้ยนหยาง ผมก็เดินทางกลับโรงแรม แต่รถบัสมาถึงช้าไปประมาณห้านาทีเท่านั้น ผมกับเพื่อนอีกสองคนนี้เลยคลาดกับเพื่อนร่วมงานอีกกลุ่มหนึ่งซึ่งกำลังเดินไปหาข้าวเย็นกินกัน พยายามเดินหาตามร้านอาหารแถวๆ โรงแรม แต่ก็หาตัวกันไม่เจอครับ ทำให้ผมและเพื่อนอีกสองคนไปลงเอยที่ร้านอาหารญี่ปุ่นตรงข้ามโรงแรม ซึ่งเขาว่ากันว่าอร่อย

ผมไม่ทราบเหมือนกันครับ “เขา” ที่ว่ากันว่าอร่อยนี้คือใคร เพราะผมและเพื่อนๆ รู้สึกผิดหวังอย่างสาหัส เพราะนอกจากจะไม่อร่อยมาเป็นทุนเดิมแล้ว จะให้ปรุงเท่าไหร่ก็ไม่อร่อยเช่นกัน แต่ไม่เป็นไรครับ ถือว่ามาลองกันให้ทราบ



หลังจากนั้นผมและเพื่อนอีกสองคนนี้ก็ไปเดินเล่นที่ซูเปอร์มาร์เก็ตข้างๆ โรงแรมซึ่งมีชื่อว่า Century Mart ผมว่าหน้าตาก็คล้ายๆ กับ Tesco Lotus บ้านเรา เพียงแต่ว่าอาจจะเล็กกว่าสักหน่อย ซึ่งแน่นอนครับ สินค้าที่นั่นล้วนแต่ Made in China ทั้งสิ้น ผมเดินมองผ่านๆ แล้วในใจก็คิดว่ามันก็น่าสนใจนะ แต่ว่าถ้าหากอ่านฉลากสินค้าไม่ออกก็ไม่ขอลองดีกว่า เลยซื้อแต่ขนมครับ เผอิญว่ามันเป็นสินค้าของบริษัทกูลิโกะ ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีในบ้านเรา ผมเลยซื้อขนมที่แปลกกว่าที่บ้านเราเป็นของติดไม้ติดมือ

ห้านาทีให้หลัง หลังจากซื้อเสร็จและกำลังเดินออกจากห้าง ปรากฏว่าผมหากระเป๋าสตางค์ตัวเองไม่เจอครับ เทถุงซื้อของออกมาก็หาไม่เจอ เลยต้องวิ่งแจ้นกลับไปที่แคชเชียร์ ผมมองๆ หาดูก็ไม่มี และกว่าจะสื่อสารกันได้ก็หืดแทบขึ้นคอ แต่โชคดีที่มีพนักงานห้างคนหนึ่งพูดภาษาอังกฤษได้ เขาช่วยไปตรวจสอบภาพจากกล้องวงจรปิดมาให้ครับ และผลปรากฏว่า ผมเองประมาทที่ลืมกระเป๋าสตางค์ไว้บนโต๊ะแคชเชียร์ เหตุที่ผมลืมนั้นก็เพราะว่าตอนเขาทอนเศษเงินมา ผมจะขอเขาแลกเป็นธนบัตรใบใหญ่แต่สื่อสารกันยากเลยชี้โบ๊ชี้เบ๊อยู่สักพักนึง จนลืมไปเลยว่าตั้งกระเป๋าสตางค์ไว้

ที่น่าเจ็บใจคือสำหรับเหตุการณ์ครั้งนี้ก็คือ คนซื้อของคนถัดจากผมเป็นคนสอยกระเป๋าสตางค์ของผมไปเองครับ แถมยังเดินตามหลังแบบหายใจรดคอผมเลยก็ว่าได้ ในตอนที่ผมเดินออกมาจากซูเปอร์มาร์เก็ต แทนที่เขาจะทักว่าผมลืมของ เขากลับหยิบมันเข้ากระเป๋ากางเกงเขาไปเอง ซึ้งครับซึ้ง แต่ก็อย่างว่าแหละครับ ประชาชนบ้านเขาปากกัดตีนถีบ และเงินทองก็ไม่เข้าใครออกใคร


พอทราบว่ากระเป๋าสตางค์หาย เพื่อนร่วมงานคนไต้หวันของผมไม่รอช้าครับ รีบพาผมไปแจ้งความที่สถานีตำรวจทันที ไม่ใช่เพราะว่าอยากได้ของคืน แต่เพื่อเป็นการป้องกันเผื่อว่าคนที่หยิบกระเป๋าสตางค์ผมไปจะนำบัตรประชาชนของผมไปปลอมแปลง แล้วทำให้ผมเดือดร้อนในภายหลัง เป็นสิ่งที่น่าประทับใจมากครับ และอีกอย่างหนึ่ง คือ พนักงานโรงแรมที่เป็นผู้จัดการประจำกะกลางคืน ก็ช่วยประสานงานและเป็นกำลังใจให้ตลอด ถึงแม้ว่าจะไม่ใช่งานของเขาก็ตาม แต่ติดอยู่ตรงที่นายตำรวจเซี่ยงไฮ้คนนึงที่เหมือนจะไม่ช่วยเหลือแล้วยังจะโวยวายต่างๆ นานาลั่นโรงพัก แต่ผมคิดเสียว่าฟังไม่เข้าใจเลยไม่ใส่ใจดีกว่าครับ

เคราะห์ที่ผมฟาดไปคราวนี้หนักพอควรครับ เพราะเงินในกระเป๋าสตางค์นั้น รวมๆ กันแล้วก็ประมาณแปดพันกว่าบาทครับ รวมถึงบัตรเครดิต บัตรเอทีเอ็ม บัตรประชาชนและใบขับขี่ เงินน่ะผมไม่ค่อยเสียใจมากครับ เพราะว่าคิดเสียว่าไปทำงานการกุศล แต่ที่เสียอารมณ์คือต้องตามอายัติบัตรเครดิต และบัตรเอทีเอ็ม แล้วต้องตามทำบัตรสำคัญต่างๆ ครับ



ขณะที่ผมเขียนเรื่องนี้ไป ผมก็มานับๆ ดูแล้ว ผมว่าคราวนี้ผมฟาดเคราะห์ไปหลายงวดทีเดียวเชียว ตั้งแต่ซื้อของแพง ทานอาหารไม่อร่อย แถมยังทำเงินหายอีก เป็นเพราะความสะเพร่าของผมเองแท้ๆ

แต่อย่างไรก็ดี มีชั่วเจ็ดที ก็ย่อมมีดีเจ็ดหนครับ เพราะวันที่ผมเดินทางกลับหัวหน้างานของผมทนสงสารผมไม่ได้ เขาไปรวบรวมเงินจากเพื่อนๆ ร่วมงานสิบกว่าคน มาเป็นเงินปลอบใจผม ซึ่งก็นับว่าเป็นมูลค่าหลายบาทอยู่ ซึ่งเมื่อมาหักลบกลบหนี้กับเงินที่ซื้อของและหายไปด้วย ก็เท่ากับว่าเงินผมหายไปราวๆ สามพันบาทเศษ ก็นับว่ายังไม่แย่เสียทีเดียว


การฟาดเคราะห์ครั้งนี้เป็นบทเรียนแสนแพง...แพงที่สุดในชีวิตก็ว่าได้ครับ แต่ถึงอย่างไรก็ตามสิ่งที่ผมได้รับกลับมาคือความประทับใจของคนไทยที่มีน้ำใจเอื้อเฟื้อต่อคนไทยด้วยกันประหนึ่งพี่น้องร่วมสายเลือด (รวมถึงพี่คนไต้หวันที่ช่วยเหลือผมทุกอย่าง จนผมตื้นตันอย่างบอกไม่ถูก) เพราะฉะนั้นเกิดเป็นคนไทยด้วยกันก็รักกันไว้เถิดครับ ไม่ต้องรอให้เกิดเหตุการณ์คับขันก่อนแล้วค่อยมาแสดงความรักต่อกันและกัน อย่างนี้บ้านเมืองเราคงน่าอยู่ขึ้นเยอะครับ


Tuesday, December 11, 2007

มิตรรักแฟนเพลง และขาประจำบล็อก Endless Stories ครับ

เนื่องด้วยเดือนนี้มีวันหยุดหลายวันประจวบกับภาระกิจที่ถาโถมเข้ามาหาผมในเวลาเดียวกัน เป็นเหตุให้การเล่าเรื่องของผมต้องล่าช้าหรืออาจจะถึงขั้นชะงักไประยะหนึ่ง ต้องขออภัยมิตรรักแฟนเพลงและขาประจำของบล็อกนี้ไว้เป็นอย่างมาก

ทันทีที่กิจธุระของผมเสร็จสิ้นและเวลาของผมลงตัวเมื่อไหร่ ผมจะรีบกลับมาอัพเดทบล็อกให้ทุกท่านได้รับความเพลิดเพลินต่ออย่างเร็วไวครับ

ขออภัยที่ทำให้ขาดตอนครับ