Thursday, February 28, 2008

นิน เอ๋ย นินทา


สวัสดีส่งท้ายเดือนแห่งความรักครับ ในครั้งนี้ผมมีเรื่องชวนคิดชวนเข้าใจเกี่ยวกับมนุษย์เรา เป็นเรื่องใกล้ที่เราปฏิบัติกันจนเคยชิน ซึ่งก็ตามชื่อเรื่องเลยครับ...นินทา

ในหนึ่งวันที่ผ่านพ้นไป มันต้องมีบ้างสักช่วงขณะหนึ่งใช่มั้ยครับ ที่เราทุกคนต้องสัมผัสกับ การนินทา ไม่ว่าจะเป็นผู้ที่นินทาเอง ได้ยินเขานินทากัน หรือแม้กระทั่งโดนนินทาเสียเอง ซึ่งกรณีหลังสุดนี้เป็นสิ่งที่เรามักจะโดนกระทำลับหลัง ไม่มีทางทราบได้ เว้นเสียแต่ว่ามันชัดเจนแบบระยะเผาขน หรือมีกบฏในวงนินทามาคาบข่าวมาฟ้องเรา

ถ้าให้ผมพูดอย่างเป็นกลางโดยไม่ได้มีอคติกับเพศใดเพศหนึ่ง จากประสบการณ์ตลอดชีวิตของผม การนินทามักพบได้บ่อยในกลุ่มสตรี (ทั้งสุภาพ และไม่สุภาพ) เนื่องจากสตรีเพศมักเก็บรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ได้ดีกว่าบุรุษเพศ ในขณะที่พฤติกรรมที่พบได้บ่อยในบุรุษเพศคือการโอ้อวด

การนินทาเป็นอาจถือได้ว่าเป็นการแสดงออกทางอารมณ์ การระบายความอึดอัดคับแค้นใจ และสันทนาการยามว่าง (ที่ไม่สร้างสรรค์)

ด้วยความอ่อนโยนและอ่อนหวานกว่าบุรุษเพศ การนินทา ถือเป็นหนทางตอบโต้การกระทำที่ขัดใจที่ง่ายและปราศจากความรุนแรงสำหรับสตรีเพศ ในขณะที่บุรุษเพศซึ่งนิยมความรุนแรงมากกว่า มักจะตอบโต้โดยการใช้กำลัง ไม่ว่าจะโดยทันที หรือสะสมความแค้นแล้วชำระรวบยอด

ในบางครั้งบุรุษเพศก็มีส่วนร่วมในการนินทา หากหัวข้อในการนินทาเป็นเรื่องโด่งดังที่ใครๆ ก็กล่าวถึง (หรือ Talk of the Town) เป็นเรื่องที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับชีวิตโดยตรง หรืออยากแสดงความคิดเห็นเพื่อแก้ไขหรือเพิ่มเติมคำครหา (ผู้อื่น) ที่กำลังดำเนินการอยู่ แต่อาจเป็นเพียงแค่ส่วนร่วมในช่วงเวลาสั้นๆ

ท้ายสุดแล้ว การนินทา เป็นหนึ่งใน โลกธรรม ๘ ตามหลักพระพุทธศาสนาที่ประกอบไปด้วย สุข-ทุกข์/ ลาภ-เสื่อมลาภ/ ยศ-เสื่อมยศ/ สรรเสริญ-นินทา ซึ่งแฝดทั้งสี่คู่นี้เป็นแปดสิ่งที่อยู่คู่มนุษย์โลกเรามาช้านาน และเป็นสิ่งที่มนุษย์เราหลายๆ คนมองข้ามไปโดยไม่รู้ตัว

ถ้าหากเราเรียนรู้ที่จะอยู่และทำความเข้าใจกับแปดสิ่งนี้ พร้อมทั้งรู้จักยับยั้งชั่งใจให้ไม่นินทา (หรือนินทาแต่พอสมควร และสมเหตุสมผล) ได้ สิ่งที่เป็นเสมือนก้อนหินก้อนดินอันแสนหนักที่อกเราต้องแบกรับไว้อาจจะแปรสภาพเป็นอากาศอันแสนเอาบาง

...


และเมื่อใจเราสบาย กายเราก็เป็นสุข



**เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ผมเขียนขึ้นเองจากประสบการณ์ และจินตนาการของตัวผมเอง ไม่ได้พาดพิงถึงบุคคล กลุ่มบุคคล องค์กร หรือสถาบันใดๆ ทั้งสิ้นครับ**

Sunday, January 27, 2008

ภาษากาย

โลกของเราประกอบไปด้วยผู้ชนหลายชาติหลายภาษาและก็เป็นที่แน่นอนว่าต่างก็มีวัฒนธรรมเป็นของตัวเอง ดังนั้นการสื่อสารของแต่ละชาติก็จะมีความหมายที่แตกต่างกันออกไปถึงแม้ว่าจะเป็นคำหรือวิธีเดียวกัน

ผมเองได้เจอคนหลายชาติ..หลายชาติจริงๆ ครับ แม้ว่าจะไม่ได้ถามว่ามาจากไหน แต่จากรูปลักษณ์สัณฐานและภาษา ก็สามารถบอกได้ว่าต่างชาติ ถ้าหากให้ไปถามถึงสัญชาติด้วยละก็ ผมว่าคงเกือบๆ จะถึงหลักร้อยแล้วล่ะครับ



เมื่อพูดถึงการสื่อสาร ผมเจอการสื่อสารที่ชวนงงเนื่องด้วยความแตกต่างของวัฒนธรรมมาแล้วครับ ถ้าพูดถึงภาษาพูดหรือภาษาเขียนนั้น มันคงไม่ยากเพราะมีพจนานุกรมให้หาคำตอบ แต่เมื่อมันมาเป็นภาษากายนี่สิครับ มันทำเอาผมงงไปเลยทีเดียว

ขอยกตัวอย่างชาติที่ผมและคนอื่นๆ เจอกันเป็นปกติแล้วกันนะครับ เป็นชาติอันแสนคลาสสิก ซึ่งก็คือกลุ่มชาวเอเชียใต้ หรือ พูดอย่างไม่ค่อยให้เกียรติเขาว่า “แขก”



การตอบรับด้วยการแสดงท่าทางของคนในวัฒนธรรมนี้จะแปลกหน่อยสำหรับบ้านเราครับ เพราะว่าเมื่อใดที่เราไปถามคำถามเขา แล้วเขาตอบว่าใช่ แทนที่จะพยักหน้าเหมือนที่เราปฏิบัติกัน กลับเป็นการพยักหน้าแต่ไปกันคนละทางกับเราครับ คือแทนที่จะพยักหน้าขึ้นลง กลับกลายเป็นว่าเขาทำไปในทางซ้ายขวาแทน ซึ่งไม่ใช่ส่ายหน้าที่หันหน้าไปซ้ายขวานะครับ เขากระดกไปทั้งศีรษะเลยทีเดียว ถ้าจะให้เปรียบเทียบก็คงเหมือนๆ กับตุ๊กตาเสียกบาลที่คอติดสปริงแล้วกระดกหัวไปซ้ายขวานั่นแหละครับ ซึ่งถ้าไม่เคยทราบมาก่อน คำตอบที่ได้มันก็จะก้ำกึ่งระหว่าง ใช่ และ ไม่ใช่

ทุกวันนี้เวลาผมเห็นเขาตอบด้วยภาษากายแบบนี้ทีไร ผมอดขำไม่ได้ทุกทีครับ



อีกชาติหนึ่ง ซึ่งเป็นชาติที่ล้ำหน้าทางเทคโนโลยีประจำทวีปเรา ซึ่งก็คือญี่ปุ่นครับ

เป็นที่ทราบกันดีว่าคนญี่ปุ่นนั้นมีวัฒนธรรมที่หยั่งรากลึกมาตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษและยังคงรักษาสืบทอดมาจนถึงยุคปัจจุบันได้อย่างน่าชื่นชม

สิ่งหนึ่งที่เด่นชัดสำหรับคนญี่ปุ่น คือความสุภาพอ่อนน้อมครับ เพราะฉะนั้นเวลาเขาทำอะไรก็ค่อนข้างจะเกรงใจและทำอะไรอย่างค่อยๆ และทะนุถนอม รวมถึงพิถีพิถัน และด้วยมรกดทางวัฒนธรรมอันนี้ ทำให้เขาโค้งคำนับกันเป็นเรื่องปกติ





มีอยู่ครั้งหนึ่งครับ ขณะทำงาน และบริการผู้โดยสารด้วยเครื่องดื่ม และเดินถามไปเรื่อยๆ เพื่อหาตัวผู้ประสงค์จะดื่มเครื่องดื่มที่ผมกำลังเสนออยู่ ผมสบตาผู้โดยสารหลายๆ คน เขาผงกหัวอย่างนิ่มนวล เพื่อตอบรับคำถามของผม แต่...เมื่อผมทำท่าจะให้เครื่องดื่มกับพวกเขา กลับกลายเป็นว่าเมื่อกี๊เขาปฏิเสธข้อเสนอของผม ไม่ได้ตอบรับ

ทำไมคราวเจอกลุ่มคนอินเดีย เขาทำท่ากึ่งส่ายหน้าเวลาตอบรับ แต่ทำไมคราวนี้คนญี่ปุ่นผงกหัวลงเพื่อปฏิเสธ??

มันเป็นเรื่องของความแตกต่างของวัฒธรรมอันละเอียดอ่อนนั่นเองครับ (อันนี้ไม่รวมถึงนิสัยของแต่ละชาติที่มีทั้งดีและไม่ดีปนๆ กัน)


ที่ผ่านมาผมเพิ่งแค่สองวัฒนธรรมนี้ที่โดดเด่นจนบางครั้งพอย้อนไปคิดแล้วก็อดหัวเราะกับตัวเองไม่ได้

ผมยังคงมีโอากสได้พบเจอความแปลกและแตกต่างจากคนที่มาจากต่างวัฒนธรรมอีกเรื่อยๆ ครับ มันเป็นความสนุกสำหรับผมที่ได้เรียนรู้สิ่งแปลกใหม่ของเพื่อนๆ ร่วมโลก และคราวหน้าถ้าผมได้เจอเรื่องแปลกๆ ผมจะนำมาเล่าสู่กันฟังอีกแน่นอนครับ

วิ่งตามตะวัน

ผมขอต่อยอดจากเรื่อง ศิลปะบนท้องฟ้า นะครับ

ถ้ายังพอจำกันได้ผมเคยบอกกับคุณผู้อ่านไว้ว่า ท้องฟ้าจากมุมสูงนั้น สวยสู้มุมต่ำไม่ได้ มีเพียงสิ่งเดียวที่สวยกว่าคือภาพดวงอาทิตย์เผยตัวเองให้ผืนโลกเห็นบนเส้นขอบโลก

ผมหาโอกาสเก็บภาพดีๆ ได้ยาก เพราะว่าผมเห็นภาพเหล่านั้นในฐานะผู้ปฏิบัติงาน ไม่ใช่ผู้โดยสาร แต่ล่าสุดครับ...ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นใจ ผมเลยได้โอกาสเก็บภาพที่ผมว่านี้มาให้ชมกัน

จากความรู้สมัยเด็กๆ เราก็ทราบกันดีว่าโลกหมุนรอบตัวเองไปทางทิศตะวันออก ทำให้เห็นดวงอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันออก และลับฟ้าในทิศตรงกันข้าม และการวิ่งตามดวงอาทิตย์นี้ คือเดินทางไปยังทิศที่ดวงอาทิตย์ประจำอยู่ ซึ่งก็คือทิศตะวันออกนั่นแหละครับ งงๆ นิดหน่อยนะครับ เพราะว่าไม่ทราบว่าจะพูดให้เข้าใจยากทำไม เอาเป็นว่าผมวิ่งเข้าไปหาดวงอาทิตย์เหมือนกับชื่อเรื่องนั่งเองครับ


ก่อนจะเจอตัวดวงอาทิตย์

อาทิตย์บนเส้นขอบฟ้า

ต่ำกว่าจุดเยือกแข็ง

Thursday, January 24, 2008

ศิลปะบนท้องฟ้า

สวัสดีปีหนูครับท่านผู้อ่านทุกท่าน ผมต้องขออภัยที่ผมทำตัวล่องหนไปนานครับ เนื่องจากว่าพักหลังๆ นี้เวลาการทำงานของผมเริ่มจะถี่มากขึ้น แต่ละเดือนเมื่อไดัรับตารางการทำงาน ก็จะพบว่ามันค่อนข้างดำ (เพราะมีตัวหนังสือพิมพ์เยอะ) เวลาหยุดของระหว่างไฟลท์ก็มีเพียงแค่หนึ่งวัน ซึ่งต้องสละมาทำธุระส่วนตัว และที่สำคัญครับ ผมมีขี้อยู่หนึ่งประเภทติดตัว ซึ่งมันก็คือ "ขี้เกียจ" เลยทำให้ได้แต่เขียนเรื่องเอาไว้หลายเรื่อง แล้วก็หยุดมันซะตั้งแต่บทนำ เพราะคิดว่ากว่าจะจบคงอีกหลายหน้า เลยขี้เกียจเขียนเสียอย่างนั้น

พอสมควรสำหรับข้อแก้ตัวครับ มาเข้าเรื่องกันดีกว่า

เรื่องของเรื่องคือว่า ผมชอบท้องฟ้ากับก้อนเมฆ เพราะว่ามันเป็นงานศิลปะอันงดงามที่ธรรมชาติเข้าใจสรรค์สร้างขึ้นมาได้อย่างน่าอัศจรรย์ และที่สำคัญครับ ภาพแต่ละภาพมีเพียงชิ้นเดียวในโลกเท่านั้น เนื่องจากก้อนเมฆเป็นสสารไม่มีรูปทรงที่แน่นอน แถมแสงสีของดวงอาทิตย์ในแต่ละวันก็ไม่เหมือนกัน บางครั้ง โดยเฉพาะเวลาผมขับรถไปทำงาน (ในช่วงกลางวัน) ผมก็จะมองไปบนท้องฟ้าดูเจ้าก้อนสีขาวๆ เหล่านี้ และถ้าหากว่าวันไหนที่ต้องตื่นเช้า ผมก็จะมองไปนอกหน้าต่างเพื่อดูท้องฟ้าเช่นกัน เป็นความโชคดีที่หน้าต่างห้องผมหันไปทางทิศตะวันออกครับ เลยมีโอกาศได้เห็นสีอันสดใสในยามเช้า และในเวลาที่ฝนตก ผมก็ยังคงมองไปบนท้องฟ้า เพื่อมองหาแหล่งของพลังงานไฟฟ้าที่วิ่งเล่นอยู่บนท้องฟ้าอย่างอิสระเสรี


จริงอยู่ที่อาชีพของผมต้องคลุกคลีกับท้องฟ้าและก้อนเมฆ แต่มันเป็นการยากครับ ที่จะไปนั่งมองผ่านหน้าต่างเครื่องบินเพื่อสำรวจก้อนเมฆเหล่านี้ แถมมุมที่เห็นจากข้างบนก็พูดได้เลยครับว่าไม่ค่อยสวย เมื่อเทียบกับมุมที่มองมาจากพื้นดิน เพราะว่าเครื่องบินบินอยู่เหนือก้อนเมฆ แถมยังต้องบินหลบเมื่อเจอเมฆก้อนใหญ่ๆ ครับ เพราะมันเป็นตัวทำให้การเดินทางไปราบรื่น หรืออาจถึงขั้นทำให้เมาเครื่องบินกันเลยทีเดียวครับ


มีเพียงสิ่งเดียวเท่านั้นที่สวยกว่า คือ ภาพดวงอาทิตย์ที่กำลังขึ้นบนเส้นขอบฟ้า ในเวลาที่ผมทำงานข้ามคืนแล้วไปถึงที่หมายในตอนเช้า


มาดูกันดีกว่าครับว่าธรรมชาติของเราสร้างสรรค์งานศิลปะบนท้องฟ้าได้สวยขนาดไหน ขอบอกไว้ก่อนนะครับว่า บางรูปผมต้องเสี่ยงชีวิตเพื่อให้ได้มาซึ่งภาพของก้อนเมฆ ซึ่งบังเอิญมาอยู่ในสายตาขณะกำลังขับรถอยู่ครับ



ฟ้ายามเช้า...


ท้องฟ้าสีทอง...

เมฆฝนตั้งเค้า...


สายฟ้ากลางสายฝน...


...ฟ้าหลังฝน


ยามเย็น..

หลบแดด

Saturday, December 29, 2007

ทั่วไทยในวันเดียว

ด้วยอาชีพที่ต้องเดินทางเป็นหลักมันจึงเป็นเรื่องธรรมดาที่ผมมีโอกาสเห็นและสัมผัสกับสิ่งต่างบ้านต่างเมืองอยู่บ่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นทั้งในประเทศและต่างประเทศ

บางคนก็อิจฉาที่ผมได้เดินทางบ่อย แต่ผมว่าเรื่องเที่ยวมันเป็นแค่ผลพลอยได้ของการทำงานครับ เพราะหน้าที่หลักมันไม่ใช่ไปเที่ยวแต่เป็นการไปสร้างความสุขความสบายให้กับคนที่เราไม่รู้จัก


ถ้าถามผมตรงๆ ว่าระหว่างในประเทศกับต่างประเทศ อะไรดีกว่ากัน ผมเองก็ตอบไม่ได้ครับ เพราะว่าความแตกต่างทางชาติ ภาษา และวัฒนธรรม มันเป็นนามธรรมมาที่ไม่สามารถเปรียบเทียบกันได้ ไปต่างประเทศมันก็ดีตรงที่ได้เปิดหูเปิดตา กับได้ลองชิมอาหารรสชาติต้นฉบับ แต่โดยส่วนตัวแล้ว ผมชอบการทำงานภายในประเทศมากกว่า

ถึงแม้ว่ามันอาจจะฟังดูไม่ไฮโซฯ เท่าไหร่นัก แต่ผมบอกได้คำเดียวครับว่า ในประเทศนี่แหละเด็ดสุดแล้ว เนื่องด้วยภาษาสื่อสารที่ไม่ต้องแปลและตีความ (ใครทำตัวน่ารักก็รู้ ใครทำตัวให้รังเกียจก็เห็นได้ทันที) อาหารการกินที่อร่อยถูกปาก และเป็นการทำงานที่ง่ายและรวดเร็ว (เร็วจริงๆ ครับ เพราะโดยเฉลี่ยแล้วมันไม่ค่อยจะเกิน 1 ชั่วโมง)

มีอยู่หนหนึ่งครับ ผมไปทำงานในประเทศ ซึ่งหนึ่งในสามวันนั้น ผมเดินทางทั่วประเทศเลยทีเดียว เพราะในตอนเช้าผมตื่นนอนที่เชียงใหม่ แล้วไปกินข้าวเที่ยงตอนบ่านต้นๆ พร้อมกับซื้อของปลอดภาษีที่ภูเก็ต เสร็จแล้วก็แวะนั่งพักกับหาอะไรรองท้องที่กรุงเทพฯ ก่อนที่จะปิดฉากของวันนั้นด้วยการไปหาอะไรกินรอบดึกและเข้านอนที่ขอนแก่น



จบจากวันนั้นมาผมลองมาย้อนคิดดูก็อดคิดไม่ได้ว่ามันแปลกดี ที่ในหนึ่งวันผมไปซะทั่วประเทศเลยครับ ถึงแม้ว่าอาจจะไม่มีภาคตะวันออกกับตะวันตกเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยก็ตาม แล้วนอกจากนี้มันยังพาลให้ผมคิดไปอีกครับว่า ประเทศไทยมีอะไรดีๆ เยอะแยะมากมายที่ผมยังไม่รู้ และไม่เห็น ถ้าไม่เชื่อลองมานั่งนับดูสิครับ ว่า 76 จังหวัดในประเทศไทย เราไปมาครบรึยัง

Saturday, December 22, 2007

ขี้

ขี้ เมื่อเป็นคำนาม คือ ของเสียที่ร่างกายไม่ต้องการแล้วขับถ่ายออกมาทางทวารต่างๆ เช่น ขี้ไคล ขี้เล็บ


ขี้ ยังหมายถึงเศษหรือกากที่ออกมาจากสิ่งนั้นๆ เมื่อใช้ร่วมกับสิ่งของ เช่น ขี้เลื่อย ขี้กบ


ขี้ สามารถใช้ประกอบหน้าคำ เพื่อแสดงความหมายที่ไม่ดี หรือมักเป็นเช่นนั้น เช่น ขี้เกียจ ขี้โมโห


สรุปแล้วขี้มันคือของไม่ดี
มีมันอยู่ที่ไหน ก็มีแต่เรื่องลำบากที่นั่น
เมื่อทราบเช่นนี้แล้วคุณยังอยากจะมี "ขี้" ติดอยู่กับตัวอีกมั้ยครับ


Friday, December 14, 2007

ฟาดเคราะห์

เมื่อสองสามวันที่ผ่านมา ผมเดินทางไปนครเซี่ยงไฮ้ ประเทศจีน และโดยปกติ ผมมักจะตรวจสอบสภาพอากาศก่อนเดินทาง เพื่อที่จะได้เตรียมจัดกระเป๋าไปให้เหมาะสม และจากการตรวจสอบเวบไซต์พยากรณ์อากาศเจ้าประจำ (http://www.accuweather.com)/ ก็ทราบว่าอุณหภูมิที่เซี่ยงไฮ้อยู่ที่ประมาณ 8-12°C ครับ และมีฝนตกในวันที่ผมไปถึง

จากประสบการณ์หนาวสะท้านกายที่กรุงโซล ประเทศเกาหลี ซึ่งมีอุณหภูมิถึงขั้นติดลบ มันได้สอนผมเอาไว้ว่าอุณหภูมิติดลบที่น่ากลัว ผมยังอยู่ได้ และเสื้อกันหนาวที่จัดไปคราวนั้นก็อุ่นเกินพอดี แถมกินเนื้อที่ในกระเป๋าผมอย่างไม่น่าให้อภัย คราวนี้ผมเลยตัดสินใจว่าไปเซี่ยงไฮ้คราวนี้เตรียมเสื้อผ้าไปนิดเดียว แค่เสื้อแขนยาวกับเสื้อแจ๊กเก็ตกันลมกันฝนก็พอ ในเมื่ออุณหภูมิต่างกันตั้งเกือบ 10 องศา สบายๆ อยู่แล้ว

การตัดสินใจของผมคราวนี้ผมเองไม่ค่อยปลื้มเท่าไหร่ครับ เพราะเสื้อผ้าที่เตรียมไปนั้นมันพอจริงๆ...พอที่จะทำให้ผมแข็งตาย!! คิดดูสิครับว่าเสื้อแจ๊กเก็ตผ้าร่มที่กันลมได้นั้น พอเจออากาศเย็นเข้าไป เนื้อผ้าก็เย็นตามอากาศไปด้วย มันหนาวสะท้านได้อย่างสะใจจริงๆ ครับ


หลังจากที่ฝ่าฟันกับอากาศที่หนาวเข้ากระดูกแสนทรมาน ผมไปเดินเล่นที่ตลาดใต้ดินชื่อว่าเสี้ยนหยาง ซึ่งโดยปกติแล้วผมเป็นคนไม่ค่อยช้อปปิ้ง เพราะฉะนั้นการต่อรองราคาก็อาจจะไม่ชำนาญเท่าไหร่นัก แต่ไปเซี่ยงไฮ้ครั้งนี้ผมตั้งใจจะไปซื้อผ้าพันคอฝากสักสี่ห้าผืนกลับมาฝากแม่และเพื่อนผู้หญิงซึ่งหาได้ไม่ยากเลยครับ

ถ้าใครมีประสบการณ์ไปเที่ยวเมืองจีนคงจะทราบกันดีนะครับว่าพ่อค้าแม่ขายของชาตินี้นั้นเขาเกิดมาเพื่อตื้อและบอกผ่านจริงๆ ผมไปซื้อผ้าพันคอมาห้าผืน ผืนละ 50 หยวน หรือประมาณ 200 บาท ซึ่งราคาขายตามป้ายที่เขาติดไว้คือ 280 หยวน ดูเขาสิครับ ช่างเอาเปรียบผู้บริโภคเสียนี่กระไร แต่ 50 หยวนก็ใช่ว่าจะถูก เพราะว่าคนอื่นๆ เขาซื้อได้ในราคาผืนละ 10 หยวนน่ะสิครับ แต่ก็เอาเถอะครับ คราวนี้ผมไปคนเดียว ไม่กล้าจะต่อกรกับแม่ค้า ถ้าไปกับเพื่อนอีกคน ผมต่อเหลือแค่ 10 หยวนแน่นอน



หลังจากเดินให้เมื่อยขาเล่นที่ตลาดเสี้ยนหยาง ผมก็เดินทางกลับโรงแรม แต่รถบัสมาถึงช้าไปประมาณห้านาทีเท่านั้น ผมกับเพื่อนอีกสองคนนี้เลยคลาดกับเพื่อนร่วมงานอีกกลุ่มหนึ่งซึ่งกำลังเดินไปหาข้าวเย็นกินกัน พยายามเดินหาตามร้านอาหารแถวๆ โรงแรม แต่ก็หาตัวกันไม่เจอครับ ทำให้ผมและเพื่อนอีกสองคนไปลงเอยที่ร้านอาหารญี่ปุ่นตรงข้ามโรงแรม ซึ่งเขาว่ากันว่าอร่อย

ผมไม่ทราบเหมือนกันครับ “เขา” ที่ว่ากันว่าอร่อยนี้คือใคร เพราะผมและเพื่อนๆ รู้สึกผิดหวังอย่างสาหัส เพราะนอกจากจะไม่อร่อยมาเป็นทุนเดิมแล้ว จะให้ปรุงเท่าไหร่ก็ไม่อร่อยเช่นกัน แต่ไม่เป็นไรครับ ถือว่ามาลองกันให้ทราบ



หลังจากนั้นผมและเพื่อนอีกสองคนนี้ก็ไปเดินเล่นที่ซูเปอร์มาร์เก็ตข้างๆ โรงแรมซึ่งมีชื่อว่า Century Mart ผมว่าหน้าตาก็คล้ายๆ กับ Tesco Lotus บ้านเรา เพียงแต่ว่าอาจจะเล็กกว่าสักหน่อย ซึ่งแน่นอนครับ สินค้าที่นั่นล้วนแต่ Made in China ทั้งสิ้น ผมเดินมองผ่านๆ แล้วในใจก็คิดว่ามันก็น่าสนใจนะ แต่ว่าถ้าหากอ่านฉลากสินค้าไม่ออกก็ไม่ขอลองดีกว่า เลยซื้อแต่ขนมครับ เผอิญว่ามันเป็นสินค้าของบริษัทกูลิโกะ ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีในบ้านเรา ผมเลยซื้อขนมที่แปลกกว่าที่บ้านเราเป็นของติดไม้ติดมือ

ห้านาทีให้หลัง หลังจากซื้อเสร็จและกำลังเดินออกจากห้าง ปรากฏว่าผมหากระเป๋าสตางค์ตัวเองไม่เจอครับ เทถุงซื้อของออกมาก็หาไม่เจอ เลยต้องวิ่งแจ้นกลับไปที่แคชเชียร์ ผมมองๆ หาดูก็ไม่มี และกว่าจะสื่อสารกันได้ก็หืดแทบขึ้นคอ แต่โชคดีที่มีพนักงานห้างคนหนึ่งพูดภาษาอังกฤษได้ เขาช่วยไปตรวจสอบภาพจากกล้องวงจรปิดมาให้ครับ และผลปรากฏว่า ผมเองประมาทที่ลืมกระเป๋าสตางค์ไว้บนโต๊ะแคชเชียร์ เหตุที่ผมลืมนั้นก็เพราะว่าตอนเขาทอนเศษเงินมา ผมจะขอเขาแลกเป็นธนบัตรใบใหญ่แต่สื่อสารกันยากเลยชี้โบ๊ชี้เบ๊อยู่สักพักนึง จนลืมไปเลยว่าตั้งกระเป๋าสตางค์ไว้

ที่น่าเจ็บใจคือสำหรับเหตุการณ์ครั้งนี้ก็คือ คนซื้อของคนถัดจากผมเป็นคนสอยกระเป๋าสตางค์ของผมไปเองครับ แถมยังเดินตามหลังแบบหายใจรดคอผมเลยก็ว่าได้ ในตอนที่ผมเดินออกมาจากซูเปอร์มาร์เก็ต แทนที่เขาจะทักว่าผมลืมของ เขากลับหยิบมันเข้ากระเป๋ากางเกงเขาไปเอง ซึ้งครับซึ้ง แต่ก็อย่างว่าแหละครับ ประชาชนบ้านเขาปากกัดตีนถีบ และเงินทองก็ไม่เข้าใครออกใคร


พอทราบว่ากระเป๋าสตางค์หาย เพื่อนร่วมงานคนไต้หวันของผมไม่รอช้าครับ รีบพาผมไปแจ้งความที่สถานีตำรวจทันที ไม่ใช่เพราะว่าอยากได้ของคืน แต่เพื่อเป็นการป้องกันเผื่อว่าคนที่หยิบกระเป๋าสตางค์ผมไปจะนำบัตรประชาชนของผมไปปลอมแปลง แล้วทำให้ผมเดือดร้อนในภายหลัง เป็นสิ่งที่น่าประทับใจมากครับ และอีกอย่างหนึ่ง คือ พนักงานโรงแรมที่เป็นผู้จัดการประจำกะกลางคืน ก็ช่วยประสานงานและเป็นกำลังใจให้ตลอด ถึงแม้ว่าจะไม่ใช่งานของเขาก็ตาม แต่ติดอยู่ตรงที่นายตำรวจเซี่ยงไฮ้คนนึงที่เหมือนจะไม่ช่วยเหลือแล้วยังจะโวยวายต่างๆ นานาลั่นโรงพัก แต่ผมคิดเสียว่าฟังไม่เข้าใจเลยไม่ใส่ใจดีกว่าครับ

เคราะห์ที่ผมฟาดไปคราวนี้หนักพอควรครับ เพราะเงินในกระเป๋าสตางค์นั้น รวมๆ กันแล้วก็ประมาณแปดพันกว่าบาทครับ รวมถึงบัตรเครดิต บัตรเอทีเอ็ม บัตรประชาชนและใบขับขี่ เงินน่ะผมไม่ค่อยเสียใจมากครับ เพราะว่าคิดเสียว่าไปทำงานการกุศล แต่ที่เสียอารมณ์คือต้องตามอายัติบัตรเครดิต และบัตรเอทีเอ็ม แล้วต้องตามทำบัตรสำคัญต่างๆ ครับ



ขณะที่ผมเขียนเรื่องนี้ไป ผมก็มานับๆ ดูแล้ว ผมว่าคราวนี้ผมฟาดเคราะห์ไปหลายงวดทีเดียวเชียว ตั้งแต่ซื้อของแพง ทานอาหารไม่อร่อย แถมยังทำเงินหายอีก เป็นเพราะความสะเพร่าของผมเองแท้ๆ

แต่อย่างไรก็ดี มีชั่วเจ็ดที ก็ย่อมมีดีเจ็ดหนครับ เพราะวันที่ผมเดินทางกลับหัวหน้างานของผมทนสงสารผมไม่ได้ เขาไปรวบรวมเงินจากเพื่อนๆ ร่วมงานสิบกว่าคน มาเป็นเงินปลอบใจผม ซึ่งก็นับว่าเป็นมูลค่าหลายบาทอยู่ ซึ่งเมื่อมาหักลบกลบหนี้กับเงินที่ซื้อของและหายไปด้วย ก็เท่ากับว่าเงินผมหายไปราวๆ สามพันบาทเศษ ก็นับว่ายังไม่แย่เสียทีเดียว


การฟาดเคราะห์ครั้งนี้เป็นบทเรียนแสนแพง...แพงที่สุดในชีวิตก็ว่าได้ครับ แต่ถึงอย่างไรก็ตามสิ่งที่ผมได้รับกลับมาคือความประทับใจของคนไทยที่มีน้ำใจเอื้อเฟื้อต่อคนไทยด้วยกันประหนึ่งพี่น้องร่วมสายเลือด (รวมถึงพี่คนไต้หวันที่ช่วยเหลือผมทุกอย่าง จนผมตื้นตันอย่างบอกไม่ถูก) เพราะฉะนั้นเกิดเป็นคนไทยด้วยกันก็รักกันไว้เถิดครับ ไม่ต้องรอให้เกิดเหตุการณ์คับขันก่อนแล้วค่อยมาแสดงความรักต่อกันและกัน อย่างนี้บ้านเมืองเราคงน่าอยู่ขึ้นเยอะครับ


Tuesday, December 11, 2007

มิตรรักแฟนเพลง และขาประจำบล็อก Endless Stories ครับ

เนื่องด้วยเดือนนี้มีวันหยุดหลายวันประจวบกับภาระกิจที่ถาโถมเข้ามาหาผมในเวลาเดียวกัน เป็นเหตุให้การเล่าเรื่องของผมต้องล่าช้าหรืออาจจะถึงขั้นชะงักไประยะหนึ่ง ต้องขออภัยมิตรรักแฟนเพลงและขาประจำของบล็อกนี้ไว้เป็นอย่างมาก

ทันทีที่กิจธุระของผมเสร็จสิ้นและเวลาของผมลงตัวเมื่อไหร่ ผมจะรีบกลับมาอัพเดทบล็อกให้ทุกท่านได้รับความเพลิดเพลินต่ออย่างเร็วไวครับ

ขออภัยที่ทำให้ขาดตอนครับ

Tuesday, November 27, 2007

พลาด (อีกแล้ว)

คืนวันที่ผมไปดูละครเวทีเรื่อง Cats ผมไปแวะไปเดินเล่นฆ่าเวลาใน B2S ก่อนจะถึงเวลาแสดง ซึ่งก็ไม่ได้เหลือมากมายเท่าไหร่หรอกครับ แต่พอดีผมอ่านหนังสือของคุณหนูดี (วนิษา เรซ) ซึ่งอยู่ในช่วงเนื้อหาเรื่องการทำ Mind Map® ก็เลยร้อนวิชาครับ ไปหาซื้อสีเมจิก ไว้เผื่อว่าวันไหนว่างๆ จะลองบริหารสมองละเลง Mind Map® ดู (ซึ่งจนถึงวินาทีนี้ก็ยังไม่ได้ทำครับ)


นอกจากความต้องการสีเมจิกที่เกิดจากความร้อนวิชาแล้ว ผมลงทุนซื้อซีดีของ Nelly Furtado มาด้วย ซึ่งปกติที่ผ่านมาผมมักก่อโจรกรรม ไปซื้อแผ่นผีซีดีเถื่อนมาฟัง เพราะมันถูกกว่ากันสามถึงสี่เท่า แต่พักนี้ผมคิดว่ามันถึงเวลาแล้วที่ผมควรจะเคารพสิทธิทางปัญญา เหตุที่ผมไปซื้อเพราะมีวันนึงผมได้ฟังเพลงของศิลปินคนนี้ในรถของเพื่อน แล้วเกิดติดใจครับ ผมหยิบซีดีขึ้นมาดู พลิกดูด้านหลัง แต่ละเพลงน่าสนใจทั้งนั้น


อัลบั้ม Loose ของ Nelly Furtado ที่ผมตั้งใจจะซื้อ


ด้วยเวลาที่มีจำกัด เพราะใกล้ถึงเวลาของละครเวที ผมรีบคว้าซีดี Nelly Furtado แล้วไปจ่ายเงินทันที

เวลาผ่านพ้นไป ผมเพลิดเพลินกับละครเวที (และยังจะซื้อซีดีเพลงประกอบละครเวทีเรื่อง Cats เพิ่มอีก) และเมื่อละครเวทีจบ ผมก็กลับบ้าน...

ปรากฏว่าผมพลาดครับ ด้วยเวลาที่มีน้อยใน B2S ทำให้ผมพลาด แทนที่ผมจะซื้อซีดีของ Nelly Furtado อัลบั้ม Loose ที่ผมตั้งใจไว้ ผมกลับไปหยิบซีดีอีกแผ่นหนึ่ง ซึ่งเป็นซีดีเพลงบันทึกคอนเสิร์ตของ Nelly Furtado แทน...เศร้าครับเศร้า ในใจก็คิดว่าไม่เป็นไรหรอก พรุ่งนี้หรือไม่ก็มะรืนนี้ค่อยไปเปลี่ยน แต่มันไม่ง่ายอย่างนั้นน่ะสิครับ เพราะนึกได้ว่าทาง B2S เขาไม่ได้ให้ใบเสร็จผมมาด้วย

อัลบั้ม Loose in Concert ที่ผม"พลาด"ซื้อมา


แต่ทำไงได้ครับ เสียเงินซื้อทรัพย์สินทางปัญญามาแล้ว ลองฟังเพลงของเขาดูสักหน่อยจะเป็นไร (แต่ในใจตอนนั้นคิดว่าสมน้ำหน้าตัวเองว่า "เป็นไงล่ะ อยากซื้อทรัพย์สินทางปัญญานักใช่มั้ย") เมื่อฟังแล้วมันก็ไม่ต่างอะไรไปจากอัลบั้ม Loose ของเขาหรอกครับ เพียงแต่จะบรรยากาศในคอนเสิร์ตแทนที่จะเป็นในห้องบันทึกเสียง ฟังๆ ไปแล้วผมว่ามันก็เข้าท่าดีเหมือนกันนะ ได้ความรู้สึกไปอีกแบบเหมือนกับว่าอยู่ในคอนเสิร์ตเลยครับ

เมื่อไม่กี่วันนี้ผมเพิ่งจะเล่าเรื่อง “เขตหวงห้าม” ไปหยกๆ มาคราวนี้ผมก็ดันทำพลาดในเรื่องเล็กๆ อีกจนได้ ยังดีนะครับ ที่ความผิดพลาดครั้งนี้ทำให้ผมได้รับอรรถรสดนตรีในอีกรูปแบบหนึ่ง แต่ก็อย่างว่าแหละครับผมจะจำเรื่องนี้เอาไว้เป็นบทเรียน จะได้ไม่ประมาทในการซื้อของครั้งต่อๆ ไปครับ

ไปดูแมวเหมียวเต้นระบำ

ในคืนวันเพ็ญเดือนสิบสองซึ่งเป็นวันลอยกระทงที่ผ่านมา แทนที่ผมจะไปเพิ่มมลภาวะทางน้ำ ผมเลือกที่จะไปชมละครเวทีบรอดเวย์เรื่อง Cats ซึ่งหอบเวทีมาจัดแสดงที่เมืองไทยรัชดาลัยเธียเตอร์ และถือว่าเป็นละครบรอดเวย์เรื่องแรกในชีวิตของผมเลยครับ


ผมลงทุนซื้อบัตรแพง นั่งอยู่แถวที่เก้าจากข้างหน้า และขอสารภาพว่าผมพกพล้องส่องทางไกลอันเล็กๆ ไปด้วยครับ เอาไว้กันเหนียว เผื่อว่าโรงมันใหญ่จนมองเห็นอะไรไม่ค่อยชัด (จากประสบการณ์การซื้อบัตรราคาประหยัดในหลายๆ การแสดงที่ผ่านมาแล้วเห็นนักแสดงตัวเท่าหัวไม้ขีด) แต่ผิดคาดครับ แถวที่ผมนั่งนั้นเป็นชัยภูมิที่ดีทีเดียวเชียว ไม่ไกลแต่ก็ไม่ได้ใกล้มากจนมองไม่เห็นภาพรวม ผมสามารถเห็นหน้าตาของนักแสดงบนเวทีได้อย่างชัดเจนจนแทบจะนับสิวเขาได้เชียวล่ะ


บรรดาเหล่าแมวเมียวผู้มาชุมนุมในงาน Jellicle Ball


ละครเวทีเรื่อง Cats นี้ได้ใจผมมากเลยครับ ไม่ใช่เป็นเพราะผมเป็นคนรักแมว แต่เป็นเพราะเสน่ห์แห่งความเป็นบรอดเวย์บวกกับองค์ประกอบของเวทีที่มีซอกหลืบอยู่เต็มไปหมด นักแสดงสามารถปีนขึ้น ปีนลง มุดช่องนู้น ออกช่องนี้ กระโจนเข้าช่องนั้น ได้ทั้งเวที และการแต่งกายของนักแสดงไม่ว่าจะมองจากมุมไหน ก็ให้ความรู้สึกว่าพวกเขาคือ”แมว”ครับ แต่สิ่งที่ผมชอบที่สุดคือการที่นักแสดงเดินออกมาตามทางเดินจากด้านหลังโรงละครในช่วงเปิดการแสดง และมีการเดินผ่านและเล่นกับคนดูเป็นระยะๆ ระหว่างดำเนินเรื่อง ซึ่งให้ความรู้สึก”เข้าถึงคนดู”เป็นอย่างมากครับ นอกจากนี้นักแสดงยังร้องเพลง Memory อันโด่งดัง เป็นภาษาไทยให้คนไทยประทับใจเล่นอีกหนึ่งช่วงด้วยครับ


Gizabell อดีตแมวผู้เลอโฉม ผู้ขับขานเพลง Memory


ผมคิดว่าสิ่งเหล่านี้แหละครับ ที่ทำให้ละครเวทีเรื่องนี้อยู่คู่บรอดเวย์มากว่ายี่สิบปี แล้วผมยังคิดต่ออีกครับว่าที่จริงแล้วคนไทยก็มีศักยภาพที่จะจัดการแสดงเช่นนี้ครับ เพียงแต่ต้องเปิดใจกว้าง กล้าลองสิ่งใหม่ๆ ไม่ต้องห่วงภาพพจน์และเลิกยึดติดกับความคิดเดิมๆ อาจจะมีบ้างที่จะต้องลงทุนมากขึ้นอีกสักหน่อย แต่ถ้าหากทำได้ ไม่ว่าจะเป็นละครเวที คอนเสิร์ต หรือการแสดงไหนๆ พี่ไทยเราสู้ต่างชาติได้แน่นอน