Thursday, February 28, 2008

นิน เอ๋ย นินทา


สวัสดีส่งท้ายเดือนแห่งความรักครับ ในครั้งนี้ผมมีเรื่องชวนคิดชวนเข้าใจเกี่ยวกับมนุษย์เรา เป็นเรื่องใกล้ที่เราปฏิบัติกันจนเคยชิน ซึ่งก็ตามชื่อเรื่องเลยครับ...นินทา

ในหนึ่งวันที่ผ่านพ้นไป มันต้องมีบ้างสักช่วงขณะหนึ่งใช่มั้ยครับ ที่เราทุกคนต้องสัมผัสกับ การนินทา ไม่ว่าจะเป็นผู้ที่นินทาเอง ได้ยินเขานินทากัน หรือแม้กระทั่งโดนนินทาเสียเอง ซึ่งกรณีหลังสุดนี้เป็นสิ่งที่เรามักจะโดนกระทำลับหลัง ไม่มีทางทราบได้ เว้นเสียแต่ว่ามันชัดเจนแบบระยะเผาขน หรือมีกบฏในวงนินทามาคาบข่าวมาฟ้องเรา

ถ้าให้ผมพูดอย่างเป็นกลางโดยไม่ได้มีอคติกับเพศใดเพศหนึ่ง จากประสบการณ์ตลอดชีวิตของผม การนินทามักพบได้บ่อยในกลุ่มสตรี (ทั้งสุภาพ และไม่สุภาพ) เนื่องจากสตรีเพศมักเก็บรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ได้ดีกว่าบุรุษเพศ ในขณะที่พฤติกรรมที่พบได้บ่อยในบุรุษเพศคือการโอ้อวด

การนินทาเป็นอาจถือได้ว่าเป็นการแสดงออกทางอารมณ์ การระบายความอึดอัดคับแค้นใจ และสันทนาการยามว่าง (ที่ไม่สร้างสรรค์)

ด้วยความอ่อนโยนและอ่อนหวานกว่าบุรุษเพศ การนินทา ถือเป็นหนทางตอบโต้การกระทำที่ขัดใจที่ง่ายและปราศจากความรุนแรงสำหรับสตรีเพศ ในขณะที่บุรุษเพศซึ่งนิยมความรุนแรงมากกว่า มักจะตอบโต้โดยการใช้กำลัง ไม่ว่าจะโดยทันที หรือสะสมความแค้นแล้วชำระรวบยอด

ในบางครั้งบุรุษเพศก็มีส่วนร่วมในการนินทา หากหัวข้อในการนินทาเป็นเรื่องโด่งดังที่ใครๆ ก็กล่าวถึง (หรือ Talk of the Town) เป็นเรื่องที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับชีวิตโดยตรง หรืออยากแสดงความคิดเห็นเพื่อแก้ไขหรือเพิ่มเติมคำครหา (ผู้อื่น) ที่กำลังดำเนินการอยู่ แต่อาจเป็นเพียงแค่ส่วนร่วมในช่วงเวลาสั้นๆ

ท้ายสุดแล้ว การนินทา เป็นหนึ่งใน โลกธรรม ๘ ตามหลักพระพุทธศาสนาที่ประกอบไปด้วย สุข-ทุกข์/ ลาภ-เสื่อมลาภ/ ยศ-เสื่อมยศ/ สรรเสริญ-นินทา ซึ่งแฝดทั้งสี่คู่นี้เป็นแปดสิ่งที่อยู่คู่มนุษย์โลกเรามาช้านาน และเป็นสิ่งที่มนุษย์เราหลายๆ คนมองข้ามไปโดยไม่รู้ตัว

ถ้าหากเราเรียนรู้ที่จะอยู่และทำความเข้าใจกับแปดสิ่งนี้ พร้อมทั้งรู้จักยับยั้งชั่งใจให้ไม่นินทา (หรือนินทาแต่พอสมควร และสมเหตุสมผล) ได้ สิ่งที่เป็นเสมือนก้อนหินก้อนดินอันแสนหนักที่อกเราต้องแบกรับไว้อาจจะแปรสภาพเป็นอากาศอันแสนเอาบาง

...


และเมื่อใจเราสบาย กายเราก็เป็นสุข



**เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ผมเขียนขึ้นเองจากประสบการณ์ และจินตนาการของตัวผมเอง ไม่ได้พาดพิงถึงบุคคล กลุ่มบุคคล องค์กร หรือสถาบันใดๆ ทั้งสิ้นครับ**

Sunday, January 27, 2008

ภาษากาย

โลกของเราประกอบไปด้วยผู้ชนหลายชาติหลายภาษาและก็เป็นที่แน่นอนว่าต่างก็มีวัฒนธรรมเป็นของตัวเอง ดังนั้นการสื่อสารของแต่ละชาติก็จะมีความหมายที่แตกต่างกันออกไปถึงแม้ว่าจะเป็นคำหรือวิธีเดียวกัน

ผมเองได้เจอคนหลายชาติ..หลายชาติจริงๆ ครับ แม้ว่าจะไม่ได้ถามว่ามาจากไหน แต่จากรูปลักษณ์สัณฐานและภาษา ก็สามารถบอกได้ว่าต่างชาติ ถ้าหากให้ไปถามถึงสัญชาติด้วยละก็ ผมว่าคงเกือบๆ จะถึงหลักร้อยแล้วล่ะครับ



เมื่อพูดถึงการสื่อสาร ผมเจอการสื่อสารที่ชวนงงเนื่องด้วยความแตกต่างของวัฒนธรรมมาแล้วครับ ถ้าพูดถึงภาษาพูดหรือภาษาเขียนนั้น มันคงไม่ยากเพราะมีพจนานุกรมให้หาคำตอบ แต่เมื่อมันมาเป็นภาษากายนี่สิครับ มันทำเอาผมงงไปเลยทีเดียว

ขอยกตัวอย่างชาติที่ผมและคนอื่นๆ เจอกันเป็นปกติแล้วกันนะครับ เป็นชาติอันแสนคลาสสิก ซึ่งก็คือกลุ่มชาวเอเชียใต้ หรือ พูดอย่างไม่ค่อยให้เกียรติเขาว่า “แขก”



การตอบรับด้วยการแสดงท่าทางของคนในวัฒนธรรมนี้จะแปลกหน่อยสำหรับบ้านเราครับ เพราะว่าเมื่อใดที่เราไปถามคำถามเขา แล้วเขาตอบว่าใช่ แทนที่จะพยักหน้าเหมือนที่เราปฏิบัติกัน กลับเป็นการพยักหน้าแต่ไปกันคนละทางกับเราครับ คือแทนที่จะพยักหน้าขึ้นลง กลับกลายเป็นว่าเขาทำไปในทางซ้ายขวาแทน ซึ่งไม่ใช่ส่ายหน้าที่หันหน้าไปซ้ายขวานะครับ เขากระดกไปทั้งศีรษะเลยทีเดียว ถ้าจะให้เปรียบเทียบก็คงเหมือนๆ กับตุ๊กตาเสียกบาลที่คอติดสปริงแล้วกระดกหัวไปซ้ายขวานั่นแหละครับ ซึ่งถ้าไม่เคยทราบมาก่อน คำตอบที่ได้มันก็จะก้ำกึ่งระหว่าง ใช่ และ ไม่ใช่

ทุกวันนี้เวลาผมเห็นเขาตอบด้วยภาษากายแบบนี้ทีไร ผมอดขำไม่ได้ทุกทีครับ



อีกชาติหนึ่ง ซึ่งเป็นชาติที่ล้ำหน้าทางเทคโนโลยีประจำทวีปเรา ซึ่งก็คือญี่ปุ่นครับ

เป็นที่ทราบกันดีว่าคนญี่ปุ่นนั้นมีวัฒนธรรมที่หยั่งรากลึกมาตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษและยังคงรักษาสืบทอดมาจนถึงยุคปัจจุบันได้อย่างน่าชื่นชม

สิ่งหนึ่งที่เด่นชัดสำหรับคนญี่ปุ่น คือความสุภาพอ่อนน้อมครับ เพราะฉะนั้นเวลาเขาทำอะไรก็ค่อนข้างจะเกรงใจและทำอะไรอย่างค่อยๆ และทะนุถนอม รวมถึงพิถีพิถัน และด้วยมรกดทางวัฒนธรรมอันนี้ ทำให้เขาโค้งคำนับกันเป็นเรื่องปกติ





มีอยู่ครั้งหนึ่งครับ ขณะทำงาน และบริการผู้โดยสารด้วยเครื่องดื่ม และเดินถามไปเรื่อยๆ เพื่อหาตัวผู้ประสงค์จะดื่มเครื่องดื่มที่ผมกำลังเสนออยู่ ผมสบตาผู้โดยสารหลายๆ คน เขาผงกหัวอย่างนิ่มนวล เพื่อตอบรับคำถามของผม แต่...เมื่อผมทำท่าจะให้เครื่องดื่มกับพวกเขา กลับกลายเป็นว่าเมื่อกี๊เขาปฏิเสธข้อเสนอของผม ไม่ได้ตอบรับ

ทำไมคราวเจอกลุ่มคนอินเดีย เขาทำท่ากึ่งส่ายหน้าเวลาตอบรับ แต่ทำไมคราวนี้คนญี่ปุ่นผงกหัวลงเพื่อปฏิเสธ??

มันเป็นเรื่องของความแตกต่างของวัฒธรรมอันละเอียดอ่อนนั่นเองครับ (อันนี้ไม่รวมถึงนิสัยของแต่ละชาติที่มีทั้งดีและไม่ดีปนๆ กัน)


ที่ผ่านมาผมเพิ่งแค่สองวัฒนธรรมนี้ที่โดดเด่นจนบางครั้งพอย้อนไปคิดแล้วก็อดหัวเราะกับตัวเองไม่ได้

ผมยังคงมีโอากสได้พบเจอความแปลกและแตกต่างจากคนที่มาจากต่างวัฒนธรรมอีกเรื่อยๆ ครับ มันเป็นความสนุกสำหรับผมที่ได้เรียนรู้สิ่งแปลกใหม่ของเพื่อนๆ ร่วมโลก และคราวหน้าถ้าผมได้เจอเรื่องแปลกๆ ผมจะนำมาเล่าสู่กันฟังอีกแน่นอนครับ

วิ่งตามตะวัน

ผมขอต่อยอดจากเรื่อง ศิลปะบนท้องฟ้า นะครับ

ถ้ายังพอจำกันได้ผมเคยบอกกับคุณผู้อ่านไว้ว่า ท้องฟ้าจากมุมสูงนั้น สวยสู้มุมต่ำไม่ได้ มีเพียงสิ่งเดียวที่สวยกว่าคือภาพดวงอาทิตย์เผยตัวเองให้ผืนโลกเห็นบนเส้นขอบโลก

ผมหาโอกาสเก็บภาพดีๆ ได้ยาก เพราะว่าผมเห็นภาพเหล่านั้นในฐานะผู้ปฏิบัติงาน ไม่ใช่ผู้โดยสาร แต่ล่าสุดครับ...ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นใจ ผมเลยได้โอกาสเก็บภาพที่ผมว่านี้มาให้ชมกัน

จากความรู้สมัยเด็กๆ เราก็ทราบกันดีว่าโลกหมุนรอบตัวเองไปทางทิศตะวันออก ทำให้เห็นดวงอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันออก และลับฟ้าในทิศตรงกันข้าม และการวิ่งตามดวงอาทิตย์นี้ คือเดินทางไปยังทิศที่ดวงอาทิตย์ประจำอยู่ ซึ่งก็คือทิศตะวันออกนั่นแหละครับ งงๆ นิดหน่อยนะครับ เพราะว่าไม่ทราบว่าจะพูดให้เข้าใจยากทำไม เอาเป็นว่าผมวิ่งเข้าไปหาดวงอาทิตย์เหมือนกับชื่อเรื่องนั่งเองครับ


ก่อนจะเจอตัวดวงอาทิตย์

อาทิตย์บนเส้นขอบฟ้า

ต่ำกว่าจุดเยือกแข็ง

Thursday, January 24, 2008

ศิลปะบนท้องฟ้า

สวัสดีปีหนูครับท่านผู้อ่านทุกท่าน ผมต้องขออภัยที่ผมทำตัวล่องหนไปนานครับ เนื่องจากว่าพักหลังๆ นี้เวลาการทำงานของผมเริ่มจะถี่มากขึ้น แต่ละเดือนเมื่อไดัรับตารางการทำงาน ก็จะพบว่ามันค่อนข้างดำ (เพราะมีตัวหนังสือพิมพ์เยอะ) เวลาหยุดของระหว่างไฟลท์ก็มีเพียงแค่หนึ่งวัน ซึ่งต้องสละมาทำธุระส่วนตัว และที่สำคัญครับ ผมมีขี้อยู่หนึ่งประเภทติดตัว ซึ่งมันก็คือ "ขี้เกียจ" เลยทำให้ได้แต่เขียนเรื่องเอาไว้หลายเรื่อง แล้วก็หยุดมันซะตั้งแต่บทนำ เพราะคิดว่ากว่าจะจบคงอีกหลายหน้า เลยขี้เกียจเขียนเสียอย่างนั้น

พอสมควรสำหรับข้อแก้ตัวครับ มาเข้าเรื่องกันดีกว่า

เรื่องของเรื่องคือว่า ผมชอบท้องฟ้ากับก้อนเมฆ เพราะว่ามันเป็นงานศิลปะอันงดงามที่ธรรมชาติเข้าใจสรรค์สร้างขึ้นมาได้อย่างน่าอัศจรรย์ และที่สำคัญครับ ภาพแต่ละภาพมีเพียงชิ้นเดียวในโลกเท่านั้น เนื่องจากก้อนเมฆเป็นสสารไม่มีรูปทรงที่แน่นอน แถมแสงสีของดวงอาทิตย์ในแต่ละวันก็ไม่เหมือนกัน บางครั้ง โดยเฉพาะเวลาผมขับรถไปทำงาน (ในช่วงกลางวัน) ผมก็จะมองไปบนท้องฟ้าดูเจ้าก้อนสีขาวๆ เหล่านี้ และถ้าหากว่าวันไหนที่ต้องตื่นเช้า ผมก็จะมองไปนอกหน้าต่างเพื่อดูท้องฟ้าเช่นกัน เป็นความโชคดีที่หน้าต่างห้องผมหันไปทางทิศตะวันออกครับ เลยมีโอกาศได้เห็นสีอันสดใสในยามเช้า และในเวลาที่ฝนตก ผมก็ยังคงมองไปบนท้องฟ้า เพื่อมองหาแหล่งของพลังงานไฟฟ้าที่วิ่งเล่นอยู่บนท้องฟ้าอย่างอิสระเสรี


จริงอยู่ที่อาชีพของผมต้องคลุกคลีกับท้องฟ้าและก้อนเมฆ แต่มันเป็นการยากครับ ที่จะไปนั่งมองผ่านหน้าต่างเครื่องบินเพื่อสำรวจก้อนเมฆเหล่านี้ แถมมุมที่เห็นจากข้างบนก็พูดได้เลยครับว่าไม่ค่อยสวย เมื่อเทียบกับมุมที่มองมาจากพื้นดิน เพราะว่าเครื่องบินบินอยู่เหนือก้อนเมฆ แถมยังต้องบินหลบเมื่อเจอเมฆก้อนใหญ่ๆ ครับ เพราะมันเป็นตัวทำให้การเดินทางไปราบรื่น หรืออาจถึงขั้นทำให้เมาเครื่องบินกันเลยทีเดียวครับ


มีเพียงสิ่งเดียวเท่านั้นที่สวยกว่า คือ ภาพดวงอาทิตย์ที่กำลังขึ้นบนเส้นขอบฟ้า ในเวลาที่ผมทำงานข้ามคืนแล้วไปถึงที่หมายในตอนเช้า


มาดูกันดีกว่าครับว่าธรรมชาติของเราสร้างสรรค์งานศิลปะบนท้องฟ้าได้สวยขนาดไหน ขอบอกไว้ก่อนนะครับว่า บางรูปผมต้องเสี่ยงชีวิตเพื่อให้ได้มาซึ่งภาพของก้อนเมฆ ซึ่งบังเอิญมาอยู่ในสายตาขณะกำลังขับรถอยู่ครับ



ฟ้ายามเช้า...


ท้องฟ้าสีทอง...

เมฆฝนตั้งเค้า...


สายฟ้ากลางสายฝน...


...ฟ้าหลังฝน


ยามเย็น..

หลบแดด