Monday, November 26, 2007

ไปทำอะไรที่โรงแรม?!?

ร่างกายและสมองของคนเรามักจะทำอะไรแปลกๆ ทั้งๆ ที่เราเองไม่รู้ตัว ผมเองก็เคยตกเป็นเหยื่อของจิตใต้สำนึกของตัวเองครับ แต่เมื่อมองย้อนไปแล้วก็อดขำไม่ได้

เรื่องของเรื่องมันมีอยู่ว่าในช่วงที่ผมเป็นนักศึกษา ผมมักจะเรียนวิชาเดียวกับเพื่อนคนนึงซึ่งชื่อโบว์อยู่เสมอโดยเฉพาะช่วงปี 2 และ ปี 3 (ขออภัยโบว์ที่นำชื่อมากล่าวในเรื่องนี้โดยไม่ได้รับอนุญาต) และมีอยู่วันหนึ่งขณะที่ผมนั่งเรียนอยู่ และอาจารย์ประจำวิชาก็แจ้งว่าจะมี Quiz ในครั้งต่อไป ผมเลยหันไปหาโบว์ซึ่งนั่งเรียนติดกันว่าจะโทรศัพท์คุยกันและติวเนื้อหาที่จะมี Quiz โดยผมนัดกับโบว์ไว้ว่าให้โบว์โทรมาหาผมช่วงเย็นๆ ราวๆ หกโมงครึ่งของคืนก่อนหน้าที่จะมี Quiz

หลังเลิกเรียนของวันที่ผมนัดโบว์ไว้ ผมก็กลับบ้าน และขณะนั้นเป็นเวลาราวห้าถึงหกโมงเย็น ซึ่งมันยังไม่ถึงเวลานัดของผมครับ ผมจึงงีบหลับรอเวลา...

...เวลาผ่านไป ผมตื่นมาอีกทีตอนสองทุ่มครึ่งครับ ผมงงว่าทำไมไม่มีโทรศัพท์มาปลุก ผมจึงรีบเช็คดูโทรศัพท์มือถือ เปิดดูสายที่ไม่ได้รับก็ปรากฏว่าไม่มีครับ...เอาแล้ว เพื่อนผมผิดนัด...และด้วยความงอน ผมเลยไม่โทรกลับไป ค่อยไปคุยกับโบว์ในวันรุ่งขึ้นแล้วกัน

เช้าวันต่อมา ผมก็ทำ Quiz ไปตามเท่าที่ผมอ่านหนังสือ ซึ่งก็ทำได้ปกติดีครับ เพียงแต่ว่าถ้าหากติวกับเพื่อน คงจะไม่ต้องเสียเวลามาอ่านคนเดียว และหลังจาก Quiz ผมก็เลยหันไปแซวโบว์เรื่องผิดนัด

ผม: ไหนบอกว่าจะโทรไปติวหนังสือกันไง ผิดนัดนี่
โบว์: ก็เธอมัวแต่อยู่ที่โรงแรมเราก็เลยไม่กล้าโทรไปกวน

โบว์ตอบคำถามของผมพร้อมหัวเราะด้วยความขำขัน แต่ผมงงครับ งงว่าโรงแรมอะไร ทำไมต้องโรงแรม ว่าแล้วก็ไม่รอช้า ผมรีบสืบเรื่องจากโบว์ทันทีซึ่งโบว์เล่าว่าโบว์โทรไปหาผมตามเวลาที่นัดไว้เป๊ะ แต่พอผมรับกลับได้ยินเสียงผมที่แสนจะงัวเงีย ซึ่งบทสนทนาระหว่างผมกับโบว์ในขณะนั้นเป็นดังนี้ครับ

ผม: (เสียงงัวเงีย) ฮัลโหล
โบว์: ฮัลโหล เธออยู่ไหน
ผม: อยู่โรงแรม
โบว์: อยู่โรงแรม? ไปทำอะไรที่โรงแรม?!?
ผม: นอนดิวะ!!!
โบว์: โอเคๆ งั้นเราไม่กวนแล้วล่ะ
ผม: เออ!
...

สรุปได้ว่าผมละเมอครับคุณผู้อ่าน แล้วละเมอได้น่าเกลียดด้วย มิน่าล่ะครับ โทรศัพท์มือถือของผมถึงไม่ได้มีหมายเลขที่ไม่ได้รับ เพราะผมรับโทรศัพท์ไปโดยไม่รู้ตัว และจนทุกวันนี้ผมก็ยังไม่เข้าใจเหมือนกันครับ ว่าทำไมต้องโรงแรม




สิ่งเดียวที่ผมรู้ก็คือร่างกายคนเรามักจะเล่นกลกับเราเสมอครับ ผมกำลังรออยู่ว่ากลต่อไปที่ร่างกายและสมองของผมจะเล่นคืออะไร เผื่อว่าคราวหน้าผมจะได้มีเรื่องแปลกๆ มาเล่าสู่กันฟังครับ

8 comments:

Anonymous said...

จิตใต้สำสึกคงฝังตัวอยู่ที่โรงแรมนะคะพี่ป๊อบ หนูคิดว่ามันเป็นเรื่องที่น่าอนาถมากนะคะ ที่พูดออกไปอย่างนั้นไปดุเค้าด้วย สงสารคุณโบว์ยิ่งนัก แกคงจะคิดไปได้หลายแง่นะคะ

เรื่องแบบนี้อนาถพอๆกับอาการเมา(ของเจ้าของ blog)เลยนะคะ หุๆๆ

Susama said...

ตอนแรกก็สงสารโบว์ แต่สุดท้ายคุณโบว์เล่าไปขำเยาะเย้ยไป อย่างนี้น่าสงสารมั้ย

ขอโทษนะครับคุณหนูหมู ผมเมายังไงก็ยังมีสติ ไม่ได้เอานิ้วไปจิ้มอวัยวะส่วนต่างๆ ของคนอื่น และที่สำคัญไม่ได้มีสภาพเหมือนศพสึนามิด้วย

Anonymous said...

เรื่องนี้เห็นด้วยกับคุณหนูหมูนะคะ น่าสงสารคุณโบว์จัง อิอิ หวังว่าตอนนี้เรื่อง (อนาถ)แบบนี้จะหายไปจากคุณเจ้าของ blog แล้วนะคะ...แฮ่...ไม่โกรธนะ ล้อเล่น

Anonymous said...

หวัดดีค่ะคุณป๊อป...ส่งไปใกล้ๆกัน วันนี้ไม่ทำงานเหรอคะ

Susama said...

สวัสดีครับคุณ anonymous

มันเป็นความอนาถครั้งแรก และครั้งเดียวครับ ที่ผมละเมอรับโทรศัพท์โดยไม่รู้ตัว แต่ความอนาถอื่นๆ ยังมีอีกเยอะครับ

ส่วนวันนี้เป็นวันว่างของผมครับ จะปฏิบัติงานอีกทีพรุ่งนี้ครับ

Anonymous said...

หนูหมูยังไม่ได้บอกเลยนะคะว่าพี่ป๊อบเมาอะไร กำลังจะบอกว่าเมาเครื่องหรอกนะคะ วุ๊ยย

หนูหมูว่าเอามือจิ้มเนี๊ย เพื่อเป็นการประเมินเชิงลึกนะคะ แล้วอีกอย่างก็ไม่ได้จิ้มส่วนใดให้สึกหรอเลยนะคะ และไม่ได้จิ้มคนแปลกหน้าด้วย พูดไม่ครบผู้ถูกกล่าวหาเสียหายนะคะ

รออ่านเรื่องเล่าจาก เมืองกิมจินะคะ Keep Warm...

Susama said...

แล้วไปครับ ถ้าเมาเครื่องบินผมไม่เถียง แต่ถ้าหากเมาเพราะฤทธิ์สุราผมขอเถียงขาดใจ

แต่การประเมินเชิงลึกของคุณหนูหมูนี่มันเป็นยังไงเหรอครับ ผมก็แค่เห็นคุณหนูหมูจิ้มๆ ที่ผิวแล้วขานชื่อสิ่งที่จิ้ม อาจจะไม่สึกหรอครับ แต่ไม่งามๆ

อย่าว่าแต่เรื่องเล่าจากแดนกิมจิเลยครับ ขนาดแดนปลาดิบที่ไปมาแล้วสักพักยังไม่นึกไม่ออกว่าจะเขียนอะไรเลยครับคุณ

Anonymous said...

มองอีกแง่นึง อะไรนะที่ทำให้โบว์คิดตะเลิดเปิดเปิงไปได้ขนาดนั้น ก็แค่ นอน ที่โรงแรม แค่เนี้ย ท่าจะคิดไปอีกขั้นแหงๆ 55 ตลกดี อันนี้สิที่ว่า จิตใจคนเราจินตนาการไปต่างๆนาๆ แค่สิ่งที่ได้เห็นหรือฟังเพียงผิดวเผิน