Friday, October 26, 2007

ฝึกสมองไบรท์ด้วย 9 เทคนิค


ผมได้ยินคนเขาพูดกันถึงหนังสือ อัจฉริยะสร้างได้ และ คุณหนูดี หรือ วนิษา เรซ ผู้เชี่ยวชาญทางด้านอัจฉริยภาพ ผมเลยเกิดความสงสัยใคร่รู้ถึงวิธีสร้างตนให้เป็นคนมีสติปัญญาบ้าง เลยไปหาซื้อหนังสือของคุณหนูดีมาอ่าน เชื่อมั้ยครับว่าหนังสือของคุณหนูดีขายดีขนาดที่ผมแวะไปร้านหนังสือไหน คำตอบที่ผมได้รับคือ “หมดแล้วครับ/ค่ะ” แต่ผมไม่ย่อท้อครับ เมื่อวันก่อน ผมไปงานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติที่ศูนย์สิริกิตติ์ และหาซื้อหนังสือ อัจฉริยะสร้างได้ มาไว้ในครอบครองได้ตามความตั้งใจ ขอสารภาพครับว่ายังไม่ได้อ่าน เพราะช่วงนี้ซื้อหนังสือมาหลายเล่ม แต่เผอิญผมเคยได้รับ Forward mail ซึ่งก็เป็นเหตุบังเอิญอีกเช่นกันที่เป็นเรื่องที่ถอดในความมาจากบทความของคุณหนูดี ถึง 9 วิธีฝึกสมองไบรท์ ผมเลยนำมาแบ่งปันให้ท่านผู้อ่านครับ เรามาดูกันดีกว่าว่า 9 วิธีที่ว่านี้มีอะไรกันบ้าง

1.จิบน้ำบ่อยๆ สมองประกอบด้วยน้ำถึง 85% และเซลล์สมองก็เหมือนต้นไม้ที่ต้องการน้ำหล่อเลี้ยง หากขาดน้ำเซลล์สมองเหล่านี้ก็เหี่ยวแห้งไม่ต่างจากต้นไม้ครับ เมื่อเซลล์สมองเหี่ยว ก็จะส่งผลให้การทำงานของสมองช้าลง กลายเป็นคนคิดช้าหรือคิดไม่ค่อยออก เพราะฉะนั้นในแต่ละวันควรดื่มน้ำบ่อยๆ ครับ


2. กินไขมันดี สมองก็คือก้อนไขมัน ซึ่งจำเป็นต้องมีไขมันดีไปทดแทนส่วนที่สึกหรอ ดังนั้นในแต่ละวันจึงควรรับประทานไขมันที่ดีจำพวกน้ำมันปลา สารสกัดใบแปะก๊วย นมถั่วเหลือง วิตามินรวม ปลาที่มีไขมันดีอย่างเช่นปลาแซลมอน หรือน้ำมันพริมโรสซึ่งอาหารเหล่านี้เป็นไขมันที่ทำให้เซลล์ชุ่มน้ำครับ ส่วนวิตามินจะให้ร่างกายสดชื่น


3. นั่งสมาธิวันละ 12 นาที หลังจากตื่นนอนแล้ว ให้ตั้งสติและนั่งสมาธิทุกเช้า เป็นเวลา 12 นาที เพื่อให้สมองเข้าสู่ช่วงที่มีคลื่น Theta ซึ่งเป็นคลื่นที่สร้างความผ่อนคลาย ทำให้สมองสามารถจินตนาการการเห็นภาพและมีความคิดสร้างสรรค์ แต่ถ้าหากไม่มีเวลาในช่วงเช้า จะนั่งสมาธิก่อนนอนก็ได้ครับ


4. ใส่ความตั้งใจ การตั้งใจในสิ่งใดก็ตามก็เหมือนกับการตั้งโปรแกรมสมองว่านี่คือสิ่งที่ต้องเกิด ในระหว่างวันสมองจะปรับพฤติกรรมเราให้ไปสู่เป้าหมายนั้น ทำให้ประสบความสำเร็จในสิ่งต่างๆ ครับ เพราะสมองไม่แยกแยะระหว่างสิ่งที่ทำจริงกับสิ่งที่เกิดขึ้น ทั้งสองอย่างจึงเป็นเสมือนสิ่งเดียวกัน



5. หัวเราะและยิ้มบ่อยๆ ทุกครั้งที่เรายิ้มหรือหัวเราะนั้นร่างกายจะหลั่งสารเอ็นโดร์ฟีน หรือสารแห่งความสุข เมื่อสารเอ็นโดร์ฟีนหลั่งออกมาก็เป็นการกระตุ้นให้เรามีความอยากรักและหวังดีต่อคนอื่นๆ ครับ


6. เรียนรู้สิ่งใหม่ทุกวัน สิ่งใหม่ในที่นี้หมายถึงสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นการรับประทานอาหารร้านใหม่ๆ รู้จักเพื่อนใหม่ อ่านหนังสือเล่มใหม่ คุยกับเพื่อนร่วมงานและปรียนรรู้วิธีการทำงานของเขา ฯลฯ และการเรียนรู้สิ่งใหม่นี้ ทำให้สมองหลั่งสารเอ็นโดร์ฟีนและโดปามีน ซึ่งเป็นสารแห่งการเรียนรู้ กระตุ้นให้อยากเรียนรู้และสร้างสรรค์ไปเรื่อยๆ เมื่อมีความสุขก็เท่ากับมีความคิดสร้างสรรค์


7. ให้อภัยตัวเองทุกวัน ขณะที่การไม่ให้อภัยตัวเอง โกรธคนอื่น โกรธตัวเอง ทำให้เปลืองพลังงานสมอง การให้อภัยตัวเอง หรือให้อภัยผู้อื่นก็เท่ากับเป็นการลดภาระของสมองครับ



8. เขียนบันทึก การฝึกเขียนขอบคุณสิ่งดีๆ (Graceful journal) ที่เกิดขึ้นแต่ละวันลงในสมุดบันทึก เช่นขอบคุณที่มีครอบครัวที่ดี ขอบคุณที่มีสุขภาพที่ดี ฯลฯ ทำให้สมองคิดในเชิงบวก พร้อมกับหลั่งสารที่ดีออกมา ช่วยให้หลับสบายตื่นมาทำสมาธิได้ง่าย และมีความคิดสร้างสรรค์ครับ



9. ฝึกหายในลึกๆ สมองต้องใช้ออกซิเจน 20-25% ของออกซิเจนที่เข้าสู่ร่างกาย การฝึกหายในเข้าลึกๆ จึงเป็นการส่งพลังงานที่ดีไปยังสมอง ควรนั่งหลังตรงเพื่อให้ออกซิเจนเข้าสู่ร่างกายได้มากขึ้น ถ้านั่งทำงานนานๆ อาจหาเวลายืน หรือเดินยืดเส้นยืดสายเพื่อให้ปอดขยายใหญ่ สามารถนำออกซิเจนเปอดได้เพิ่มขึ้นอีก 20%


เห็นมั้ยครับว่าเพียงแค่ 9 วิธีง่ายๆ ทำที่ไหนและเมื่อไหร่ก็ได้ สามารถบริหารสมองหรือศูนย์สั่งการของร่างกายเราได้ และสมองของเราก็เหมือนกับทักษะทั่วไปที่ต้องอาศัยการฝึกฝนและพัฒนาอยู่เสมอ เมื่อเรามีสมองที่ดี คุณภาพชีวิตของเราก็จะดีตามครับ อย่าลืมนำไปปฏิบัติกันนะครับ

Wednesday, October 17, 2007

โรคระบาดทางวาจา

ท่านผู้อ่านรู้จัก “โรคห่า” มั้ยครับ คนสมัยก่อนเขาจะใช้คำนี้เรียกโรคระบาดที่คร่าชีวิตผู้คนคราวละมากๆ และคำว่า “ห่า” นี้ พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานได้ความหมายไว้ว่าเป็นชื่อผีจำพวกหนึ่ง ถือกันว่าทำให้เกิดโรคระบาดอย่างร้ายแรง เป็นเหตุให้คนตายจำนวนมาก และด้วยเหตุนี้คนโบราณจึงเรียกโรคระบาดว่า “โรคห่า” ตามที่ผมกล่าวไว้ครับ แต่ทุกวันนี้ผมสังเกตว่า คำว่า “ห่า” เป็นคำที่ใช้ในประโยคในที่พูดกันในหมู่เพื่อนฝูงเพื่อแสดงอารมณ์ไม่พอใจ หรือรู้สึกในแง่ลบกันสิ่งที่พูด

ผมเองก็เป็นหนึ่งในผู้ใช้คำนี้เช่นกัน แต่เลือกใช้เฉพาะกับกลุ่มบุคคลเท่านั้นครับ ไม่ได้พูดพร่ำเพรื่อ และวิธีการใช้คำว่า “ห่า” ของกลุ่มเพื่อนร่วมชั้นเรียนผมกลุ่มนี้เป็นสิ่งที่น่าสนใจทีเดียว คือเมื่อใดก็ตามที่เพื่อนคนหนึ่งในวงสนทนาเอ่ยคำว่า “ห่า” คนอื่นๆ ก็จะพูดคำว่า “ห่า” ตามๆ กันเป็นเวฟเหมือน “โรคห่า” ระบาดไม่มีผิด แต่แทนที่จะมีพาหะนำโรคเป็นสิ่งมีชีวิต กลับเป็นคำพูดและความรู้สึกไม่อยากแตกแยกเข้ามาแทนที่ เพราะว่าใครไม่พูดถือว่า ช้า และ ไม่เข้าพวก

ผมไม่ได้แนะนำให้ท่านผู้อ่านทำตามนะครับ เพราะถือว่าคำนี้ไม่ใช่คำที่คนทุกคนอยากฟังหรือได้ยิน แค่เป็นเรื่องเล่าสนุกๆ ที่ปนสาระความรู้ของภาษาไทยนิดหน่อยเท่านั้นเองครับ

Tuesday, October 16, 2007

Intruder Alert

สุดสัปดาห์หนึ่งผมไม่อยู่บ้านและกลับมาอีกทีในวันจันทร์ เชื่อมั้ยครับว่าเพียงวันหรือสองวันที่ผมไม่อยู่มันมีผู้บุกรุกครับ ในวันนั้น หลังจากเดินเข้าบ้านและกำลังก้าวเท้าข้ามธรณีประตูห้องน้ำเพื่อไปทำธุระส่วนตัว ผมต้องผงะอยู่หน้าประตูห้องน้ำครับ ทำไมน่ะเหรอครับ เพราะว่ามีแขกไม่พึงประสงค์และไม่ได้รับเชิญ 1 ตัว ซึ่งมันก็คือ...แมลงสาบครับ... จริงๆ แล้วมันเป็นผู้บุกรุกมากกว่า มันโตเต็มวัยและยึดชั้นวางของเหนืออ่างล้างหน้าเป็นฐานที่มั่น มันกำลังเพลิดเพลินกับยาสีฟัน Close Up อย่างเอร็ดอร่อย หรือพูดแบบเห็นภาพได้เลยว่ากำลังแซ่บก็ว่าได้ มันทั้งพยายามกินและพยายามแทะยาสีฟันที่ติดอยู่บนฝาหลอด แทะจนตัวมันสะเทือน เหมือนๆ กับหมาป่าที่งัดชิ้นเนื้อจากกระดูกเหยื่อแรงๆ อย่างนั้นเลยครับ มันเป็นอะไรที่น่ากลัว แต่นับเป็นโชคดีของผมที่ยาสีฟันหลอดนั้นไม่ได้เปิดฝาและมันเป็นของประดับชั้นวางของเพราะว่าผมไม่ได้ใช้


ถึงกระนั้นก็เถอะครับ ขึ้นชื่อว่าแมลงสาบ ผมก็ไม่ให้อภัยแล้วล่ะครับ เพราะผมประกาศกร้าวตั้งตนเป็นศัตรูถาวรกับสิ่งมีชีวิตนี้และยึดมั่นกับคติที่กว่าวว่า "มีฉันต้องไม่มีเธอ" ว่าแต่ผมจะทำยังไงกับมันล่ะครับ ในเมื่อมันอยู่ที่ชั้นวางของเหนืออ่างล้างหน้า และไม่สามารถที่จะหาอะไรมาฟาดให้มันสิ้นใจ ณ ตรงนั้นได้ (ฟังดูโหด แต่ผมจำเป็นต้องใช้มาตรการขั้นรุนแรง) เพราะถ้าฟาดไปแล้วชั้นวางของและของบนนั้นอาจจะเสียหายได้ และถ้ามันไม่ตายมันจะหนีอาจจะทางบก หรือทางอากาศ หรือทั้งสองอย่างรวมกัน และมันก็เป็นอะไรที่น่ากลัวอีกเช่นกัน

ผมเดินวนไปวนมาอยู่หลายรอบ พร้อมทั้งสภาวะจิตใจที่เริ่มแย่ลงเรื่อยๆ เพราะไม่รู้ว่ามันจะอิ่มและพร้อมจะสร้างความปั่นป่วนเมื่อใด ผมโทรศัพท์หาเพื่อนเพื่อสร้างขวัญและกำลังใจให้ตัวเองเป็นระยะๆ และในที่สุด เหมือนแสงสว่างที่ส่องมาในความมืด ผมเหลือบไปเห็นกาต้มน้ำครับ ผมเลยจัดแจงต้มน้ำ รออย่างใจจดใจจ่อจนมันเดือด และเมื่อทำใจพร้อมรบ ผมก็ถืออาวุธชิ้นนี้ และพลางก็คิดในใจว่า “ผมขอผิดศีลข้อ 1 สักวันก็แล้วกันนะ” แล้วเดินก้าวไปในห้องน้ำและเล็งไปยังเป้าหมายที่ยังคงแซ่บกับของกินเบื้องหน้า และผมสาดตูมมันเข้าไปยกกาครับ เสร็จแล้วผมรีบถอยหลังกลับเพื่อตั้งหลักทันทีเผื่อว่ามันไม่ตายจริงแล้วดิ้นทุรนทุรายพร้อมกับกางปีกบิน แต่เหมือนทุกอย่างเข้าข้างผม ผู้บุกรุกตัวนั้นหยุดแน่นิ่งอยู่กับที่ ผมทำใจกล้า เดินเข้าไปสำรวจระยะประชิด และทำการประกาศการเสียชีวิตของผู้บุกรุกทันที

ผมสำรวจความเสียหายของพื้นที่ จำใจเคลียร์ศพคู่กรณีอย่างทุลักทุเล และเคลียร์สมรภูมิ อะไรที่เป็นขวดและมีฝาปิดมิดชิดเช่นกระป๋องโฟมโกนหนวด และครีมของแม่ผม ผมก็ยังคงล้าง (หลายๆ รอบ) และเก็บไว้ครับ ส่วนอะไรที่ผู้บุกรุกสัมผัสโดยพละการ ผมก็จัดการทิ้งไม่ให้เห็นเป็นที่ช้ำใจ กระบวนการทั้งหมดนี้ให้ความรู้สึกเดียวกับหนังเรื่อง Starship Trooper เลยครับ


เจ้าแมลงดึกดำบรรพ์นี้ เป็นสิ่งที่อยู่คู่กับโลกเรานับเป็นเวลาร่วมล้านปี และไม่มีทีท่าว่าจะสูญพันธุ์ครับ ทั้งๆ ที่ผมอยากให้มันหายไปจากโลกนี้เต็มแก่ มันแทรกซึมอยู่ทุกพื้นที่ในโลก เป็นพาหะที่พกเชื้อโรค พร้อมทั้งมีความไวและความอดทนเป็นอาวุธปนะจำกายสำคัญอันน่ากลัว แต่แทนที่จะมาจินตนาการให้มันหายไป เรามาช่วยกันรักษาความสะอาด เพื่อปิดโอกาสไม่ให้ผู้บุกรุกเหล่านี้มาเยือนบ้านคุณกันดีกว่าครับ

Monday, October 15, 2007

สวรรค์ไม่มีจริง

เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา ผมต้องเดินทางไปกลับกรุงเทพฯ-การาจี ประเทศปากีสถาน เป็นไฟลท์ข้ามคืน และขึ้นชื่อว่าย่ำแย่ เพราะว่าด้วยการทำงานข้ามคืนและธรรมชาติของผู้โดยสาร แต่เผอิญว่าช่วงนี้เป็นช่วงเทศกาลถือศีลอดของชาวอิสลาม พวกเขาเลยไม่เดินทางกัน ทำให้จำนวนผู้โดยสารของไฟลท์ที่ขึ้นชื่อว่ามหาโหดนี้มีน้อยมาก ขาไป 50 นิดๆ ขากลับอีก 80 หน่อยๆ เองครับ

เมื่อเป็นเช่นนี้ พี่ Purser ประจำเที่ยวบินเลยจัดเวรให้ไปพักผ่อนกัน โดยแบ่งเป็นครึ่งๆ ครึ่งแรกพักตั้งแต่เครื่องออกจนถึงครึ่งทาง ส่วนอีกครึ่งหนึ่งก็พักตั้งแต่ครึ่งทางจนถึงที่หมายของทั้งขาไปและกลับ ฟังดูแล้วเหมือนเป็นสวรรค์ดีๆ นี่เอง ไฟลท์ข้ามคืนที่ปกติต้องอดหลับอดนอน แต่กลับได้นอนพักกัน

แต่ทว่าความสุขมันเกิดขึ้นเพียงชั่วครู่ครับ หลังจากที่พี่ Purser จัดเวรพักผ่อนเสร็จไปไม่ทันขาดคำ โทรศัพท์ในห้องก็ดังขึ้น และเมื่อพี่ Purser คุยเสร็จก็ได้ความว่า มีเครื่องบินเสียที่เมืองเจนไน (Chennai) ประเทศอินเดีย ซึ่งเครื่องของผมต้องแวะรับทั้งลูกเรือและผู้โดยสารที่ตกค้างอยู่ที่นั่นกลับกรุงเทพฯ ทำให้ผู้โดยสารขากลับเกือบเต็มลำ...โถ่ เพิ่งจะดีใจกันไปหยกๆ สุดท้ายความสุขมันก็หายไปกับสายลม และเมื่อทราบดังนี้ แผนการเดินทางก็ต้องเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย กลายเป็น กรุงเทพฯ – การาจี, การาจี – เจนไน, เจนไน – กรุงเทพฯ แทนที่จะเป็น กรุงเทพฯ – การาจี และ การาจี – กรุงเทพฯ ทำให้เวลาพักผ่อนน้อยลงไป แต่ก็ไม่ถึงกับไม่มีเสียทีเดียว


ฟังดูน่าเศร้าใจ แต่ถึงยังไงซะ มันก็คืองานครับ และไม่ว่างานไหนๆ มันก็มักจะมีอะไรให้ประหลาดใจ และมีปัญหาให้แก้เฉพาะหน้าอยู่เรื่อยๆ เสมอ ถ้าคิดในแง่ดี ปัญหาเหล่านี้มีไว้เพื่อเป็นการลับคมสมองของเราไงครับ


Tuesday, October 9, 2007

รางวัลแห่งความโดดเดี่ยว

ด้วยเวลาว่างที่ผมมีทำให้ผมนึงถึงบทความเรื่อง The Rewards of Solitary จากหนังสือเรียนสมัยผมเรียนตอนปี 1 ซึ่งเป็นบทเรียนวิชาภาษาอังกฤษบทแรกๆ ของชีวิตมหาวิทยาลัยของผม เป็นบทความอ่านง่ายๆ (แต่ตอนนั้นรู้สึกว่ายากมาก) และให้ข้อคิดดีๆ กับผู้อ่านครับ

ความโดดเดี่ยวหรือการที่อยู่ตัวคนเดียวนั้น ทำให้เรามีเวลาสงบเพื่อทบทวนอดีตทั้งที่ผิดและถูก เพื่อเป็นบทเรียนสำหรับอนาคตที่กำลังก้าวเข้ามาในชีวิตของเรา และความโดดเดี่ยวนี้เอง เป็นสิ่งที่ทำให้เรามีสติซึ่งเป็นสิ่งที่ก่อให้เกิดปัญญา ผมเองมักจะได้ประโยชน์ของความโดดเดี่ยวนี้ โดยเฉพาะในเวลาอ่านหนังสือสอบหรือแม้กระทั่งการเขียน Blog ของผมเอง ซึ่งมันได้ผลมากครับ เพราะสำหรับผมแล้วผมเชื่อว่า ความสงบมาปัญญาก็เกิด สิ่งนี้แหละครับเป็นรางวัลที่ความโดดเดี่ยวมอบให้กับเรา
ถึงแม้ความความโดดเดี่ยวจะช่วยสร้างสติให้เรา แต่ยังไงซะมนุษย์เราก็เป็นสัตว์สังคมครับ เพราะฉะนั้น เมื่อคิดทบทวนอตีด และคิดล่วงหน้าถึงอนาคตแล้ว ก็อย่าลืมกลับไปใช้ชีวิตในสังคมร่วมกับผู้อื่นนะครับ

Bad (Luck) Eyes Day

เมื่อวานนี้เป็นอะไรก็ไม่ทราบครับ ตื่นมาก็รู้สึกปวดตาซ้าย คาดว่าคงโดนละอองยาฆ่าปลวกที่ฉีดไว้ในคืนก่อนหน้า ร่างกายเลยตอบสนองในวันรุ่งขึ้น แล้วช่วงแต่งตัวก็สังเกตเห็นตุ่มเล็กๆ ประมาณปลายเข็มหมุดที่เปลือกตา แต่โชคดีที่ช่วงเที่ยงๆ มันก็ยุบลงไปบ้างให้หายกังวล

แต่เรื่องมันยังไม่จบเท่านี้ครับ ช่วงบ่ายผมซักถุงเท้า และแผ่นยางรองในรองเท้า ระหว่างที่ผมบีบขยี้แผ่นยางด้วยความเมามัน ปรากฏว่าน้ำผงซักฟอกในกะละมังมันก็พุ่งตรงเข้าสู่หน้าและตาซ้ายที่มีตุ่มอยู่เต็มๆ เหมือนกับใครนำน้ำใส่ขันใบเล็กๆ มาสาดใส่ในช่วงสงกรานต์ไม่มีผิดเลยครับ ลำพังน้ำผงซักฟอกก็แย่พอแล้ว แต่ผมผสมเด็ทตอลลงไปด้วยน่ะสิ เพราะว่าแผ่นยางรองในรองเท้ามันเน่ามาก และเท่านั้นยังไม่พอครับ ผมนึกขึ้นได้อีกว่า ไอ้เจ้าแผ่นยางนี่ก็คงเป็นแหล่งชุมชนขนาดมหึมาของแบคทีเรียหลายล้านชีวิต ถ้าเปรียบเจ้าแผ่นยางนี้กับยาคูลท์ ก็คงเป็นยาคูลท์ชั้นเยี่ยมที่เปี่ยมไปด้วยจุลินทรีย์มีชีวิตนับล้านล้านตัว และด้วยสัญชาตญาณ ผมรีบล้างตาโดยทันที และหลายๆ รอบ แต่แปลกที่ไม่รู้สึกแสบอะไรนะครับ แค่รู้สึกบวมๆ น้ำนิดหน่อย บวกกับตาแดง

ผ่านไปสามในสี่ของวันจนถึงหั่วค่ำ ผมคิดว่าไม่น่าจะเกิดอะไรขึ้นอีก...แต่ความคิดกับความเป็นจริงมันต่างกันครับ ผมไปซื้อไอศกรีม Ice Stone ที่สเวนเซนส์มาทาน (แนะนำให้ไปลองครับ อร่อยมาก) แล้วไม่ทราบว่าทานท่าไหน ช้อนไอศกรีมเจ้ากรรมดันทิ่มลูกกะตาอีก...เอาเข้าไป มันจะอะไรกันนักกันหนาครับเนี่ย โชคดีนะเนี่ย ที่มันทิ่มแค่เปลือกตา

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดเป็นอุทาหรณ์สอนใจผมว่า อุบัติเหตุสามารถเกิดขึ้นได้ในรูปแบบของ Package และทยอยมาเป็นระลอกๆ ดังนั้น เราจึงไม่ควรใช้ชีวิตอย่างประมาทครับ

Monday, October 8, 2007

พูดไม่ผิด แต่คิดเป็นอื่น (ตอนจบ)

ขอปิดท้ายซีรี่ส์ พูดไม่ผิด แต่คิดเป็นอื่น ด้วยเรื่องเล่าจากผู้โดยสารอีกเรื่องหนึ่งนะครับ ผมว่าหลายๆ คนคงอาจจะเคยได้ยินมาแล้วเหมือนกัน แต่ผมรับประกันความขำเหมือนเดิมครับ และถ้อยคำอาจจะออกแนว Hardcore ไปนิดเลยขออภัยไว้ล่วงหน้าครับ

ลองรึยัง
ปกติแล้วคนบนเครื่องบินมักจะมีเครื่องดื่มทางเลือกให้เราเสมอ ถ้าอย่างใดอย่างหนึ่งหมด ก็จะมีอย่างอื่นมาทดแทนให้ (จำไว้นะครับ เผื่อว่าจะได้ใช้ในชีวิตจริง) และในทางกลับกัน ผู้โดยสารในแต่ละสัญชาติมักจะมีเครื่องดื่มประจำใจพวกเขาเหมือนกัน เช่นคนต่างชาติบางประเทศติดใจเบียร์สิงห์ของเรามาก ในขณะที่บางท่านก็ชอบดื่มไฮเนเกน แต่ถ้าเกิดเบียร์สองยี่ห้อนี้หมด เรามาดูกันครับว่าจะเกิดอะไรขึ้น

แอร์โฮสเตส : Would you care for something to drink, sir?
ผู้โดยสาร : Singha Beer, please.
แอร์โฮสเตส : Sorry, sir, we ran out of Singha Beer.
ทันใดนั้น แอร์โฮสเตสเลยยื่นข้อเสนอเบียร์ไทยอีกยี่ห้อหนึ่งให้ผู้โดยสารท่านนี้ พร้อมกับพูดว่า
แอร์โฮสเตส : May I offer you another Thai beer? Have you tried Chang (ช้าง) yet ?

ผู้โดยสารท่านนั้นก็ยินดีรับข้อเสนอ ในขณะที่ผู้โดยสารคนไทยโดยรอบต่างสะดุ้งกับข้อเสนออันน่าหวาดเสียวที่แอร์โฮสเตสมอบให้แก่ผู้โดยสาร
เห็นมั้ยครับว่าคำพูดง่ายๆ บางคำทำให้คนฟังเข้าใจคิดผิดไปไหนถึงไหน เราลองมองย้อนกลับมาดูตัวเราเองกันสิครับว่าวันนี้คุณทำให้คนอื่นเข้าใจคุณผิดรึเปล่า

Saturday, October 6, 2007

พูดไม่ผิด แต่คิดเป็นอื่น (ตอนที่ 3)

หลังจากขำขันกับเรื่องจากประสบการณ์ตรงของผมไปแล้วสองเรื่อง คราวนี้เป็นเรื่องที่คนเขาเล่าต่อๆ กันมาครับ คาดว่าหลายๆ คนคงเคยได้ยินมาแล้วบ้าง

จะรู้มั้ย?
ทุกครั้งที่เราเดินทางด้วยเครื่องบิน เรามักจะเห็นพนักงานต้อนรับนำอาหารและเครื่องดื่มมาบริการให้ผู้โดยสาร แล้วสังเกตมั้ยครับ ว่าพนักงานแต่ละคนจะมีวิธีการพูดที่ต่างๆ กัน บางคนพูดยาวเหยียด บอกสรรพคุณของสิ่งที่นำเสนอ แต่บางคนก็พูดสั้นๆ ง่ายๆ จนบางทีคนรับข้อเสนออาจ(แกล้ง)เข้าใจผิดได้ เหมือนกับ 2 เหตุการณ์ ข้างล่างนี้ครับ

สจ๊วต : กาแฟร้อนมั้ยครับ
ผู้โดยสาร : ไม่ทราบเหมือนกันค่ะ ฉันไม่ได้ถือด้วย
สจ๊วต : …

------------------------------

แอร์โฮสเตส : ชามั้ยคะ
ผู้โดยสาร : ยังรู้สึกครับ ผมขยับขาผมบ่อย
แอร์โฮสเตส : …


สรุปแล้วไม่ทราบว่าผู้โดยสารขี้เล่น หรือว่าพนักงานสื่อสารบกพร่องนะครับเนี่ย

พูดไม่ผิด แต่คิดเป็นอื่น (ตอนที่ 2)

เรื่องนี้ไม่เชิงว่าเป็นการตีความผิด แต่ผมว่ามันก็ใกล้เคียงแหละ ลองมาดูกันดีกว่าว่าใครคิดผิดใครคิดถูก


สะกูไร
งงล่ะสิครับ ว่ามันคืออะไร เรื่องนี้มันไม่เชิงว่า เป็นการตีความผิด แต่ว่าผมว่ามันก็ใกล้เคียงแหละ เรื่องมันมีอยู่ว่า มีอยู่วันหนึ่ง ผมให้ช่างมาซ่อมประตูบานเลื่อน เพราะว่ามันตกราง ช่างเขาก็มาก้มๆ ส่องๆ ดูใต้บานประตู กับรางเลื่อน แล้วหันมาหาผม พร้อมกับถามผมว่า “น้องมีสะกูไรมั้ย สะกูไร” เอาล่ะสิครับพี่น้อง มันคืออะไรของเขาเหรอ ไอ้เจ้าสะกูไร เนี่ย ผมก็เลยพยายามหาคำตอบให้กับตัวเอง ด้วยการถามเขากลับว่า “จะโทรศัพท์เหรอครับ” แทนที่จะได้คำตอบ เขากลับงงตามผม กลายเป็นว่าชวนกันงง เขาก็เลยถามผมใหม่ คำถามเดิมเลยครับ ว่า “มีสะกูไรมั้ย” แต่คราวนี้ เขาหมุนข้อมือไปด้วยเป็นภาพประกอบ ผมก็เลยทราบทันทีว่า สิ่งที่เขาต้องการคือ “ไขควง” ครับ
คือเขามาถามหาสิ่งของโดยใช้ศัพท์ฝรั่งกับผม แต่เผอิญเขาไม่แม่น Accent แทนที่ผมจะได้ยินคำว่า สกรูว์ไดรฟ์เวอร์ (Screwdriver) มันเลยกลายเป็น สะกูไร แทน

Friday, October 5, 2007

พูดไม่ผิด แต่คิดเป็นอื่น (ตอนที่ 1)

เชื่อมั้ยครับท่านผู้อ่าน ว่าคำพูดบางคำ สามารถตีความหมายได้หลายอย่าง ได้ทั้งดีและไม่ดีโดยทั้งๆ ที่เราไม่ได้เจตนาอย่างนั้น ผมมีเรื่องเล่าอยู่ 3-4 เรื่อง เกี่ยวกับปาก (คนพูด) ไม่ตรงกับใจ (คนฟัง) ให้อ่านกันเล่นๆ ครับ

เรื่องหอยๆ
ผมไปทานข้าวต้มกับเพื่อนๆ ร่วมห้องเรียนและคุณครูอีก 2 ท่าน และขณะนั้นทุกคนต่างคิดเมนูที่อยากทาน และทยอยสั่ง ในหัวของผมบอกกับตัวผมเองว่า “อยากกินหอยลายผัดพริกเผา” และสั่งการให้ปากผมสั่งอาหาร แต่ก่อนจะสั่ง ผมก็ขอยืนยันกับทางคนรับออเดอร์ก่อนว่า ทางร้านมีหอยลายสด ผมจึงถามพนักงานไปว่า “มีหอยลายมั้ยครับ” พอจบประโยคปุ๊บ คุณครูทั้ง 2 ท่านของผม หันขวับมาหาผมแล้วบอกว่า “ห้ามพูดว่า มี” ผมก็งงสิ ว่าทำไม คุณครูก็เลยบอกใบ้ให้ว่า คนรับออเดอร์เป็นผู้หญิง ไปถามเขาอย่างนั้นได้ไง.....เท่านั้นแหละ ผมก็ถึงบางอ้อ โธ่เอ๊ย ไอ้เราก็ถามอย่างซื่อๆ ไม่ได้ไปคิดอยากจะรู้เสียหน่อยว่าของเขาลายรึเปล่า พอทราบอย่างนี้ก็จะจำไว้เลยว่า เวลาจะสั่งเมนูหอยไม่ควรใช้คำถามที่ว่า “มีหอยมั้ยครับ”

Happy Meal ล้านนา

ถ้าพูดถึง Happy Meal สิ่งแรกที่ทุกๆ คนนึกถึงก็คงเป็นอะไรไปไม่ได้นอกเสียจากอาหารชุดคุณหนูที่ McDonald’s ใช่มั้ยครับ แต่ผมขอแนะนำ Happy Meal ชุดใหม่ ที่ไม่ใช่ Junk food และผมตั้งชื่อให้อาหารชุดนี้ว่า Happy Meal ล้านนา เพราะว่าเป็นอาหารชุดจากเชียงใหม่

ผู้ต้นคิดในการนำชื่อ Happy Meal มาเรียกอาหาชุดนี้ คือใครผมก็ไม่อาจทราบได้ เพราะว่ายังไม่เกิดในวงการเทวดา แต่เอาเป็นว่าทุกครั้งที่มีไฟลท์บินไปเชียงใหม่ แทบทุกคนจะต้องสั่งซื้อ Happy Meal นี้กันเสมอ เหมือนๆ กับไปอิตาลีแล้วต้องกินสปาเก็ตตีอะไรทำนองนั้นครับ ซึ่งในหนึ่งชุด (เล็ก) ประกอบไปด้วย
· หมูทอด
· แหนมทอด
· หมูยอทอด
· ไส้อั่ว
· น้ำพริกหนุ่ม
· ข้าวเหนียว

หน้าตาของมันก็จะเป็นอย่างที่เห็นในภาพครับ



ทั้งหมดนี้คุณคิดว่าราคาเท่าไหร่ครับ ผมให้ทาย....100 บาท? ผิดครับ อาหารชุดนี้ราคาแค่ 60 บาทเท่านั้น อิ่ม อร่อย ได้ประโยชน์กว่าอาหารขยะเป็นไหนๆ เห็นมั้ยครับ ว่าอาหารไทย ไม่ว่าจะจากภาคไหนก็อร่อยและราคาถูก เราลองหันมาบริโภคอาหารชุดไทยๆ แทนที่จะไปเลือกรับประทานอาหารขยะที่มีแต่แป้ง ไขมัน และ แคลอรี แล้วคุณจะรู้ว่า ของไทยเราดีจริงๆ

Thursday, October 4, 2007

ถุงไม่ต้องครับ ถุงไม่ต้อง


“ไม่ต้องใส่ถุงครับ” คำพูดนี้เป็นคำพูดที่ผมใช้ประจำ และอย่างเพิ่งคิดไปไหนไกลครับ ถุงที่ผมว่านี้หมายถึงถุงพลาสติกเวลาที่ไปซื้อของครับ และความคิดที่จะลดขยะของผมนี้ไม่ได้เพิ่งจะเกิดขึ้นเพราะกระแสโลกร้อนนะครับ ผมพยายามจะช่วยลดปริมาณขยะมาเป็นเวลาหลายปีแล้ว เพราะว่าผมสังเกตมาเป็นเวลานานแล้วว่าทั่วทั้งเมืองมันมีแต่ขยะ แล้วมีวันนึงผมดูรายการโทรทัศน์เกี่ยวกับขยะพลาสติก เขาบอกว่า ถ้านำจำนวนขยะถุงพลาสติกของคนไทยเนี่ย มาผูกต่อๆ กัน สามารถพันรอบโลกได้หลายรอบเลยทีเดียว ผมก็เลยคิดว่า เอาน่า เราไม่ทำให้มันสกปรกแค่คนเดียว ก็ยังดีกว่าไม่ช่วยอะไรเลย ดังนั้น เวลาผมไปซื้อของในร้านสะดวกซื้อ ถ้าหากว่าซื้อไม่เยอะ ไม่เกินกำลังมือที่จะถือ ผมก็จะบอกพนักงานว่าไม่ต้องใส่ถุง หรือเวลาไปซูเปอร์มาร์เก็ตแล้วต้องซื้อของปริมาณเยอะหน่อย ผมก็พยายามใส่รวมๆ กันในถุงเดียว แล้วมาลุ้นว่ามันจะขาดมั้ย (ชอบความตื่นเต้นครับ) แต่พักหลังมานี้ด้วยกระแสภาวะโลกร้อนกำลังเป็นประเด็น พ่อค้าแม่ค้าหัวใส และองค์กรเพื่อสิ่งแวดล้อมต่างๆ ก็ได้จัดทำกระเป๋าผ้า ถุงผ้าออกมาจำหน่ายให้ได้ใช้กัน ตอนแรกๆ ผมตัดใจซื้อไม่ค่อยลง เพราะว่าราคามันสูงครับ แล้วอันที่ไม่แพงก็ดูไม่ทนอีก แต่ท้ายที่สุดก็ยอมแพ้จิตสำนึกที่มีต่อสิ่งแวดล้อมและเพื่อโลกที่สดใส ผมก็ยอมซื้อมาหนึ่งใบ

นอกจากถุงผ้าแล้ว มีบางคนเช่นนักร้องวงทีโบน (ขอโทษทีครับ ผมจำชื่อพี่เขาไม่ได้) ใช้ปิ่นโตในการซื้ออาหาร เพื่อเป็นการลดปริมาณถุงพลาสติก เขาทำอย่างนี้มาเป็นเวลา 10 ปีแล้วล่ะครับ คิดดูสิครับ ว่าหนึ่งมื้อง่ายๆ ที่มีข้าวสวย แกงหนึ่งอย่าง กับอีกหนึ่งอย่าง แค่นี้ก็ใช้ถุงพลาสติกไปตั้ง 3 ใบแล้ว จะมาใส่รวมในถุงเดียวกันก็ไม่ได้

ถุงผ้า และ ปิ่นโต เป็นแค่สองวิธีง่ายๆ จากหลายร้อยหลายพันวิธีที่จะช่วยลดปริมาณขยะและรักษาสิ่งแวดล้อมให้กับโลกของเรา เรามาช่วยกันคนละไม้คนละมือ ก่อนที่เราจะไม่มีโลกให้อยู่กันเถอะครับ


มองแต่สิ่งดี

เล็กๆ น้อยๆ จากท่านพุทธทาสภิกขุ เพื่อสังคมที่น่าอยู่ขึ้นครับ



แค้นนี้ ต้องชำระ

เจ้านายต่อว่า ลูกค้างี่เง่า เพื่อนร่วมงานไม่ได้เรื่อง คนขับรถปาดหน้า ฯลฯ แต่ละอย่างที่ผมกล่าวมานี้ ถ้าใครเจอก็คงพูดได้คำเดียวว่าเซ็ง ยิ่งเจอซ้ำๆ บ่อยๆ และพร้อมๆ กันก็จะทำให้หงุดหงิด แล้วพาลไปถึงโกรธ พอโกรธมากๆ เข้า แต่ทำอะไรไม่ได้ก็จะเกิดเป็นความแค้น แล้วคราวนี้จะทำยังไงดีล่ะครับ ขืนปล่อยไว้อย่างนี้ผมรับรองว่าไม่นานต้องเสียสติ เพราะอัดอั้นความทุกข์เอาไว้

ผมมีทางออกครับ เป็นทางออกที่ไม่มีใครเจ็บตัว และไม่มีใครเป็นผู้กระทำหรือตกเป็นผู้ถูกกระทำ คือว่าพอดีผมได้รับเครื่องช่วยระบายความเครียด (และความแค้น) จาก Forward mail เลยอยากจะนำมาแชร์ครับ




เริ่มต้นจากใส่ชื่อคนที่เราอยากจะเคลียร์หนี้ด้วย (ตอนนี้ขอเว้นไว้ เพื่อเหตุผลทางการแสดง)









และใช้อาวุธประจำกายระบายความแค้น













เท่านั้นยังไม่พอ ยังสามารถเลือกอาวุธเพิ่มเติมได้ตามชอบ











มีทั้งสนับมือ











อวัยวะเบื้องต่ำ











และอุปกรณ์กีฬา






ใส่มันเข้าไปให้เต็มที่จนเต็ม K.O. Meter จนเป็นที่สาแก่ใจ

เมื่อเป็นที่พอใจแล้วก็ทำการปฐมพยาบาลแล้วมาเริ่มต้นกันใหม่ กับคนเดิม หรือคนอื่นที่เราไม่ชอบขี้หน้า

คำเตือน ไม่เหมาะสำหรับเด็กอายุต่ำกว่า 13 ปี และผู้ปกครองควรให้คำแนะนำในการชมเนื่องด้วยภาพประกอบอันรุนแรง และความไร้ประโยชน์สาระอันแสนสาหัส

Wednesday, October 3, 2007

เสพบ้าน

อาจจะฟังดูพิลึกว่าอะไรคือเสพบ้าน เป็นยาเสพย์ติดชนิดใหม่ที่กำลังเป็นที่นิยม หรือว่ามันคืออะไรกันแน่ อย่าเข้าใจผิดคิดว่าเป็นสิ่งไม่ดีนะครับ คำนี้เพื่อนผมเป็นผู้บัญญัติขึ้น สืบเนื่องมาจากวันนี้เป็นวันว่าง ผมเลยอยู่บ้านไม่มีอะไรต้องกังวล เลยถือโอกาสทำความสะอาดบ้าน ทำ Laundry เล็กน้อย (ปกติเป็นงานประจำ) ท่องโลก Internet พร้อมๆ กับเขียน Blog และ เพลิดเพลินกับวันว่างในบ้านจนไร้ความรู้สึกที่อยากจะออกไปไหน ขนาดไปกินข้าวก็ยังไม่อยากไป เพื่อนชวนให้ไปนู่นไปนี่ผมก็ไม่ไป เสมือนว่าเสพติดชีวิตในบ้าน จนเป็นที่มาของคำว่า "เสพบ้าน"

ในทำนองเดียวกัน เมื่อคืนนี้เพื่อนของผมเข้านอนตั้งแต่เย็น จนถึงรุ่งสางของอีกวัน นับชั่วโมงนอนได้ 11 ชั่วโมง สงสัยว่าจะ "เสพฟูก" จนเอ็นโดรฟีนหลั่งเกินความจำเป็นต่อร่างกาย ส่งผลให้เฮฮาเกินกว่าปกติ

แล้วคุณล่ะครับ วันนี้ "เสพ" อะไรที่เป็นผลดีต่อร่างกายและสังคมแล้วหรือยัง?

เมื่อสังคมและคนรอบข้างมากำหนด "ตัวตน" ของเรา

มองไปรอบตัวเราทุกๆ วันนี้ สังคมไทยเราชักจะมีอะไรแปลกๆ แต่ในความแปลกที่ว่านี้กลับมีหน้าตาที่เหมือนๆ กัน งงกับคำพูดผมใช่มั้ยครับ ผมเองก็งงเหมือนกันว่าที่พูดไปคืออะไร แต่จะขอขยายความให้เห็นภาพนะครับ ถ้าเราสังเกตกันดีๆ วัยรุ่นสมัยนี้เขามักจะทำอะไรเหมือนๆ กันไม่ว่าจะเป็นทรงผมที่ได้รับอิทธิพลมาจากเกาหลีและญี่ปุ่นเต็มๆ และการแต่งกายที่นับวันจะใช้ปริมาณผ้าน้อยลงไปเรื่อยๆ

มีวันนึง ผมไปเดินสยาม ปรากฏว่าเด็กๆ ที่สยามแต่งตัวเหมือนกันหมด ไม่ว่าจะเป็นผมทรงวัยรุ่นเกาหลี วัยรุ่นญี่ปุ่น ใส่กางเกงขาเดฟ ใส่แซ็กสั้น กางเกงขาสั้น เขาแต่งตัวกันแบบนี้และเป็นแบบเดียวที่สามารถพบเห็นได้ ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมต้องทำอะไรตามๆ กัน หรือเป็นเพราะว่าสังคมและผองเพื่อนของคนเราสมัยนี้เป็นตัวกำหนดความเป็น ”ตัวตน” ของคนแต่ละคนไปแล้ว

มันแปลกดีนะครับ ที่เวลาใครทำอะไรอย่างหนึ่งแล้วเป็นจุดเด่นดูดีขึ้นมา แล้วทำให้คนอื่นๆ ทำตาม จนขยายวงกว้างขึ้นเรื่อยๆ และกลายเป็นแฟชั่นและค่านิยมของสังคมนั้นไป ใครทำอะไรผิดแปลกไปจากที่เขาปฏิบัติกันอยู่ ถือว่าไม่เข้าพวกไปเสียอย่างนั้น




ถ้ามองกลับกัน ผมว่าการที่ทำอะไรเหมือนๆ กันก็แสดงออกถึงความสามัคคี ความมีเอกภาพดี แต่มันจะขาดความมีเอกลักษณ์ หรือพูดง่ายๆ คือลืมเป็นตัวของตัวเอง (ต่างกับมาร์ค ที่อยากเป็นตัวของตัวเอง) และในเมื่อทำตามสิ่งที่เขาทำกัน ความคิดก็จะหยุดนิ่ง ไม่มีเหตุจำเป็นที่จะต้องคิด ในเมื่อมีตัวอย่างให้ทำตาม แล้วอย่างนี้อนาคตของมนุษย์เราจะเป็นยังไง...เป็นอะไรที่น่ากลัวทีเดียว



ผมว่าเราลองมองย้อนกลับมามองดูตัวเองกันดีกว่า ว่าทุกวันนี้ที่เราเป็นอยู่ เราดำเนินชีวิตตามที่ใจเราอยากให้เป็น หรือเป็นไปตามที่สังคมและสิ่งรอบข้างมา "กำหนด" ให้เรา

"ท่านผู้โดยสารคะ.."


“..อีกสักครู่เชิญชมสาธิตวิธีการใช้อุปกรณ์เพื่อความปลอดภัยบนเครื่องบินจากพนักงานต้อนรับค่ะ”



ประโยคนี้เป็นประโยคที่เราได้ยินกันเป็นประจำทุกครั้งเมื่อขึ้นเครื่องบินในเวลาก่อนที่เครื่องจะทำการ Take off ไม่ว่าจะเป็นสายการบินไหนในโลกก็ตาม และผมเชื่อว่าตั้งแต่เหตุการณ์เครื่องบินของสายการบิน One-2-Go เที่ยวบินที่ OG269 ลื่นไถลออกนอกรันเวย์ที่ภูเก็ต ทำให้ทุกๆ คนตระหนักถึงเรื่องความปลอดภัยบนเครื่องบินมากขึ้น และบางคนถึงกับหวาดกลัวการเดินทางทางอากาศไปเลยก็มี อันนี้ไม่ว่ากัน เพราะว่าห้ามกันไม่ได้

เรามาดูกันดีกว่าว่า เหตุผลของการที่เขาให้ปฏิบัติตามเขาแต่ละอย่างมันคืออะไร พวกเราจะได้เข้าใจกันถ้วนหน้า ว่า อ๋อ..ที่เขาให้ทำแบบนี้ก็เพราะมันเป็นอย่างนี้นี่เอง

เริ่มต้นกันตั้งแต่เดินขึ้นเครื่องจนไปถึงที่นั่งกันเลย สงสัยมั้ยว่าทำให้ผู้โดยสารต้องเก็บของไว้ในที่เก็บของเหนือศีรษะ หรือใต้ที่นั่งด้านหน้ามั้ย นั้นก็เพราะว่าสัมภาระของเราถือเป็น Loose object เมื่อเกิดเหตุฉุกเฉินแล้วจะกลายเป็นสิ่งกีดขวางเส้นทางหนีของผู้โดยสาร หรือแม้กระทั่งกลายเป็นกระสุนลูกใหญ่ได้เลยทีเดียว และสาเหตุที่ใต้ที่นั่งด้านหน้าเป็นที่ที่เก็บสัมภาระได้ เพราะว่าจะมีแผงกัน เมื่อเกิดการลงจอดฉุกเฉิน กระเป๋าของพวกเราก็จะถูกดันไปติดอยู่ด้านในภายใต้เก้าอี้ ไม่ก่อให้กระเป๋าคุณเป็น Loose object



เมื่อเก็บของเสร็จแล้วก็ถึงเวลานั่งประจำที่ ซึ่งเป็นที่แน่นอนว่าต้องรัดเข็มขัด ทำไมน่ะเหรอครับ ก็เพราะว่าระหว่างการเดินทางเราไม่ทราบหรอกว่าจะตกหลุมอากาศเมื่อไหร่ เข็มขัดนี้เรียกได้ว่าเป็นผู้ช่วยชีวิตคนมานักต่อนักแล้ว และการรัดเข็มขัด ก็ต้องรัดให้กระชับที่ระดับสะโพก ย้ำครับย้ำ ว่ากระชับที่ระดับสะโพก หากเกิดเหตุฉุกเฉิน เจ้าเข็มขัดที่รัดไว้ระดับสะโพกนี้แหละจะรั้งช่วงสะโพกของเราที่ถือว่าค่อนข้างแข็งแรง ใครชอบรัดเข็มขัดหลวมๆ ขอเตือนครับว่าหากเกิดเหตุฉุกเฉิน แทนที่เข็มขัดจะดึงช่วงสะโพก จะกลายเป็นดึงช่วงหน้าอก ซี่โครง หรือหน้าท้อง ซึ่งไม่ได้แข็งแรงเท่าสะโพก และเป็นเหตุให้เกิดการบาดเจ็บรุนแรงภายในได้ และขอแนะนำว่าให้รัดเข็มขัดไว้ตลอดเวลาขณะนั่งประจำที่นะครับ เพราะอย่างที่ผมบอกไปก่อนหน้านี้แล้วว่าเราไม่ทราบว่าเครื่องบินจะตกหลุมอากาศเมื่อไหร่ สำหรับคนที่มีรูปร่างใหญ่ก็ใช่เหตุผลที่จะขอไม่รัดเข็มขัดครับ เพราะว่าเขามี extension seat belt ไว้ให้เพื่อความปลอดภัย



ก่อนเครื่องจะขึ้นและลง เราเคยสงสัยมั้ย ว่าทำให้ถึงต้องให้ปรับพนักเก้าอี้ให้ตั้งตรง ต้องพับเก็บโต๊ะหน้าที่นั่ง ต้องพับเก็บที่วางเท้า เก็บจอภาพข้างที่นั่ง หรือว่าให้เปิดหน้าต่างทุกบาน สาเหตุที่ต้องทำอย่างนี้เพราะว่าช่วง Take off และ Landing ถือเป็นช่วง Critical phase ของการทำการบิน และกว่า 90% ของอุบัติเหตุมักจะเกิดในช่วงนี้ ดังนั้น เพื่อให้สะดวกต่อการอพยพหนีออกจากตัวเครื่องบิน การที่ปรับพนักเก้าอี้ตรง ก็เพื่อเวลาเกิดเหตุฉุกเฉิน เราจะได้ไม่มีเก้าอี้เอนมาขวางทางขณะหนีออก และเหตุผลนี้เป็นเหตุผลเดียวกับการให้พับโต๊ะหน้าที่นั่ง ที่วางเท้า และ จอภาพข้างที่นั่งครับ ส่วนการที่ให้เปิดหน้าต่างนั้น ก็เพราะว่าจะได้ปรับสายตาจากความแตกต่างของความสว่างภายใน และภายนอกห้องโดยสารครับ


ความดันอากาศภายในห้องโดยสารนั้นมีการปรับไว้เพื่อความสบายของพวกเรา แต่ในบางครั้งเวลาเกิดเหตุฉุกเฉิน แล้วเครื่องบินจำเป็นต้องลดระดับอย่างรวดเร็ว หรืออาจมีเหตุอื่นๆ ที่ทำให้สูญเสียความดันอากาศภายในห้องโดยสาร สิ่งที่พวกเราทุกคนต้องการก็คงเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้ นอกเสียจากหน้ากากออกซิเจน ซึ่งวิธีการใช้ก็คงไม่ยากเย็นเกินความสามารถของทุกคน แต่...ถ้าหากเราเดินทางไปกับเด็ก ก็อย่าลืมใส่ให้ตัวเองก่อนใส่ให้เด็กนะครับ เพราะเรายิ่งปล่อยให้ตัวเองขาดออกซิเจนนานเท่าไหร่ ความสามารถในการครองสติของเราก็จะลดลงเร็วเท่านั้น ทำให้ไม่สามารถไปช่วยเหลือใครได้ แม้กระทั่งตัวเราเอง ตามที่ผมเคยเล่าไว้ในเรื่องของ Hypoxia



ถ้าเมื่อใดที่มีเหตุจำเป็นต้องนำเครื่องบินลงจอดในน้ำ สิ่งที่ขาดไม่ได้เลยนั่นก็คือเสื้อชูชีพ ที่เก็บไว้ใต้ที่นั่ง ในที่พักแขน หรือตามที่มีเครื่องหมายแสดงไว้ หรืออุปกรณ์ลอยน้ำอื่นๆ เช่นเบาะที่นั่ง แต่..เคยสงสัยมั้ยครับว่าทำไมเขาถึงไม่ให้เรากระตุกเสื้อชูชีพให้พองลมขณะที่นั่งอยู่ในเครื่องบิน นั่นก็เพราะว่า ถ้าหากเครื่องลงน้ำแล้วท่านใส่เสื้อชูชีพที่พองลม แทนที่ท่านจะได้ลอยออกไปจากเครื่องบิน จะกลายเป็นว่าลอยติดอยู่ในซากเครื่องบินแทน เพราะฉะนั้น จะเป็นการดีกว่าที่จะกระตุกเสื้อชูชีพให้พองลมนอกตัวเครื่อง หรือว่า ขณะที่กำลังเดินออกจากตัวเครื่องครับ



แล้วถ้าหากเกิดเหตุฉุกเฉินขึ้นมาจริงๆ เราจะทำยังไงและจะหนีไปทางไหนล่ะ? จะเป็นการดีมากถ้าหากเราทุกคนรู้ว่าประตูทางออกฉุกเฉินอยู่ที่ไหน ซึ่งโดยปกติแล้วประตูทางออกฉุกเฉินจะมีอยู่ด้วยกัน 8 ประตู 10 ประตู หรือ 12 ประตู แล้วแต่ประเภทของเครื่องบิน และประตูทางออกฉุกเฉินนี้ จะมีอุปกรณ์ความปลอดภัย ที่เรียกว่า Slide Raft ติดตั้งไว้สำหรับการอพยพออกจากเครื่องบิน สามารถเป็นได้ทั้งสไลด์ และเป็นได้ทั้งแพชูชีพ แต่บางประตูจะเป็นแค่สไลด์อย่างเดียว ไม่ได้เป็นแพชูชีพด้วย ทางที่ดี เราควรจะศึกษาข้อมูลนี้จากแผ่นพับในกระเป๋าที่นั่งด้านหน้าของเรา หรือว่าสอบถามได้จากพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินครับ





ส่วนท่านั่งที่ถูกต้องเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉินนั้น มีชื่อเรียกว่า Brace หรือ Crash protection เป็นพิสูจน์แล้วว่าก่อให้เกิดอันตรายกับตัวเราน้อยที่สุดในกรณีที่เกิดเหตุฉุกเฉิน ซึ่งจะป้องกันคอและศีรษะของเราจากแรงกระแทกได้มากกว่าท่านั่งอื่นๆ ซึ่งท่านั่งก็มีอยู่สองแบบ ขึ้นอยู่กับที่นั่งของผู้โดยสารครับ ถ้าหากเรามีที่นั่งที่กว้าง หรือนั่งแถวหน้าสุด ก็สามารถพับตัว เพื่อป้องกันแรงกระแทกได้ เหมือนภาพซ้ายมือข้างล่าง ส่วนสำหรับที่นั่งที่แคบลงมาหน่อย ก็สามารถใช้แขน หรือประสานมือรองศีรษะไว้แล้วเอนตัวไปข้างหน้าเหมือนภาพขวามือ (สังเกตมั้ยว่านายแบบทั้งสองของเรารัดเข็มขัด Low and tight) แต่ถ้าหากว่ามีเด็กเล็กเดินทางมาด้วย ก็ให้อุ้มไว้ในระหว่างขาทั้งสองข้าง ไม่ใช้บนหน้าตักนะครับ แล้วใช้มือหนึ่งรองศีรษะเด็กไว้ และอีกมือหนึงรองศีรษะของเรา





เป็นที่ทราบกันดีว่าสมัยนี้ใครไม่เป็นโรคติดต่อเนี่ย เชยมาก โรคติดต่อที่ว่านี้ก็คือโทรศัพท์มือถือ และอุปกรณ์การสื่อสารต่างๆ ที่เราใช้กันทุกวันนี่แหละครับ ทราบมั้ยว่าทำไมสายการบินทั่วโลกถึงไม่อนุญาตให้พวกเราใช้อุปกรณ์เหล่านี้ นั่นก็เพราะว่าคลื่นสัญญาณจากโทรศัพท์มือถือ จะรบกวนการติดต่อสื่อสารระหว่างนักบินและหอบังคับการบินน่ะสิครับ ไม่เพียงแต่โทรศัพท์มือถืออย่างเดียวนะครับ รวมถึงของเล่นบังคับวิทยุ เครื่องส่ง หรือรับสัญญาณวิทยุ และอุปกรณ์ไร้สายต่างๆ เช่นบลูทูธ พริ้นเตอร์ไร้สาย อุปกรณ์เหล่านี้ล้วนก่อให้เกิดอุบัติเหตุได้ทั้งสิ้น อดใจไว้สักนิดระหว่างเดินทาง แล้วค่อยใช้เมื่อเครื่องบินจอดเทียบท่าอาคารผู้โดยสารแล้วจะดีกว่าครับ




ถึงแม้ว่าอุบัติเหตุของการเดินทางโดยเครื่องบินนั้นมักจะร้ายแรง แต่การเดินทางด้วยวิธีนี้ ยังนับเป็นการเดินทางที่ปลอดภัยที่สุดเมื่อเปรียบเทียบกับการเดินทางด้วยวิธีอื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งทางรถยนต์ ซึ่งเป็นสิ่งที่ใกล้ตัวพวกเราที่สุด แต่เรากลับมองข้ามไป ขนาดการเดินทางง่ายๆ โดยใช้ลาและม้า ยังคร่าชีวิตของคนมากกว่าอุบัติเหตุทางอากาศเสียอีก (อันนี้ไม่ได้โม้นะ เมื่อคืนดูทีวีแล้วเจอจริงๆ) และพนักงานที่ทำงานเกี่ยวข้องกับอากาศยานมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับความปลอดภัยเป็นอย่างดี และเครื่องบินมีการตรวจสภาพความพร้อมก่อนทำการบินอย่างสม่ำเสมอ เพราะฉะนั้นพวกเราจึงมั่นใจได้ถึงสวัสดิภาพของพวกเรา และอย่าลืมที่จะทำตัวเป็นผู้โดยสารที่ดีทุกๆ ครั้งที่โดยสารไปกับเครื่องบินนะครับ