ผมเองได้เจอคนหลายชาติ..หลายชาติจริงๆ ครับ แม้ว่าจะไม่ได้ถามว่ามาจากไหน แต่จากรูปลักษณ์สัณฐานและภาษา ก็สามารถบอกได้ว่าต่างชาติ ถ้าหากให้ไปถามถึงสัญชาติด้วยละก็ ผมว่าคงเกือบๆ จะถึงหลักร้อยแล้วล่ะครับ
เมื่อพูดถึงการสื่อสาร ผมเจอการสื่อสารที่ชวนงงเนื่องด้วยความแตกต่างของวัฒนธรรมมาแล้วครับ ถ้าพูดถึงภาษาพูดหรือภาษาเขียนนั้น มันคงไม่ยากเพราะมีพจนานุกรมให้หาคำตอบ แต่เมื่อมันมาเป็นภาษากายนี่สิครับ มันทำเอาผมงงไปเลยทีเดียว
ขอยกตัวอย่างชาติที่ผมและคนอื่นๆ เจอกันเป็นปกติแล้วกันนะครับ เป็นชาติอันแสนคลาสสิก ซึ่งก็คือกลุ่มชาวเอเชียใต้ หรือ พูดอย่างไม่ค่อยให้เกียรติเขาว่า “แขก”
การตอบรับด้วยการแสดงท่าทางของคนในวัฒนธรรมนี้จะแปลกหน่อยสำหรับบ้านเราครับ เพราะว่าเมื่อใดที่เราไปถามคำถามเขา แล้วเขาตอบว่าใช่ แทนที่จะพยักหน้าเหมือนที่เราปฏิบัติกัน กลับเป็นการพยักหน้าแต่ไปกันคนละทางกับเราครับ คือแทนที่จะพยักหน้าขึ้นลง กลับกลายเป็นว่าเขาทำไปในทางซ้ายขวาแทน ซึ่งไม่ใช่ส่ายหน้าที่หันหน้าไปซ้ายขวานะครับ เขากระดกไปทั้งศีรษะเลยทีเดียว ถ้าจะให้เปรียบเทียบก็คงเหมือนๆ กับตุ๊กตาเสียกบาลที่คอติดสปริงแล้วกระดกหัวไปซ้ายขวานั่นแหละครับ ซึ่งถ้าไม่เคยทราบมาก่อน คำตอบที่ได้มันก็จะก้ำกึ่งระหว่าง ใช่ และ ไม่ใช่
ทุกวันนี้เวลาผมเห็นเขาตอบด้วยภาษากายแบบนี้ทีไร ผมอดขำไม่ได้ทุกทีครับ
อีกชาติหนึ่ง ซึ่งเป็นชาติที่ล้ำหน้าทางเทคโนโลยีประจำทวีปเรา ซึ่งก็คือญี่ปุ่นครับ
เป็นที่ทราบกันดีว่าคนญี่ปุ่นนั้นมีวัฒนธรรมที่หยั่งรากลึกมาตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษและยังคงรักษาสืบทอดมาจนถึงยุคปัจจุบันได้อย่างน่าชื่นชม
สิ่งหนึ่งที่เด่นชัดสำหรับคนญี่ปุ่น คือความสุภาพอ่อนน้อมครับ เพราะฉะนั้นเวลาเขาทำอะไรก็ค่อนข้างจะเกรงใจและทำอะไรอย่างค่อยๆ และทะนุถนอม รวมถึงพิถีพิถัน และด้วยมรกดทางวัฒนธรรมอันนี้ ทำให้เขาโค้งคำนับกันเป็นเรื่องปกติ
มีอยู่ครั้งหนึ่งครับ ขณะทำงาน และบริการผู้โดยสารด้วยเครื่องดื่ม และเดินถามไปเรื่อยๆ เพื่อหาตัวผู้ประสงค์จะดื่มเครื่องดื่มที่ผมกำลังเสนออยู่ ผมสบตาผู้โดยสารหลายๆ คน เขาผงกหัวอย่างนิ่มนวล เพื่อตอบรับคำถามของผม แต่...เมื่อผมทำท่าจะให้เครื่องดื่มกับพวกเขา กลับกลายเป็นว่าเมื่อกี๊เขาปฏิเสธข้อเสนอของผม ไม่ได้ตอบรับ
ทำไมคราวเจอกลุ่มคนอินเดีย เขาทำท่ากึ่งส่ายหน้าเวลาตอบรับ แต่ทำไมคราวนี้คนญี่ปุ่นผงกหัวลงเพื่อปฏิเสธ??
มันเป็นเรื่องของความแตกต่างของวัฒธรรมอันละเอียดอ่อนนั่นเองครับ (อันนี้ไม่รวมถึงนิสัยของแต่ละชาติที่มีทั้งดีและไม่ดีปนๆ กัน)
ที่ผ่านมาผมเพิ่งแค่สองวัฒนธรรมนี้ที่โดดเด่นจนบางครั้งพอย้อนไปคิดแล้วก็อดหัวเราะกับตัวเองไม่ได้
ผมยังคงมีโอากสได้พบเจอความแปลกและแตกต่างจากคนที่มาจากต่างวัฒนธรรมอีกเรื่อยๆ ครับ มันเป็นความสนุกสำหรับผมที่ได้เรียนรู้สิ่งแปลกใหม่ของเพื่อนๆ ร่วมโลก และคราวหน้าถ้าผมได้เจอเรื่องแปลกๆ ผมจะนำมาเล่าสู่กันฟังอีกแน่นอนครับ
1 comment:
ชื่อเรื่องทำให้คิดลึกไป นิดส์ แทงยูสำหรับเกร็ดเล็กๆน้อยๆ ฮ้า
Post a Comment